เบี้ยประกันรถ EV ทำไมยังแพง? คปภ. เรียกบริษัทประกันชี้แจงแล้ว

เบี้ยประกันรถ EV ทำไมยังแพง? คปภ. เรียกบริษัทประกันชี้แจงแล้ว
หลายคนที่ขับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อาจมีคำถามในใจเหมือนกันว่า “ทำไมเบี้ยประกัน EV ถึงยังแพงอยู่ ทั้ง ๆ ที่เราขับดี ไม่มีเคลมเลย?”
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกมาเคลื่อนไหว เรียกบริษัทประกันภัยหลายแห่งเข้าชี้แจง หลังตรวจพบว่า แม้จะมีเงื่อนไขใหม่ที่บังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2566 อย่าง “ระบุชื่อผู้ขับขี่” ซึ่งควรทำให้ผู้เอาประกันได้รับ ส่วนลด 10 – 40% หากต่ออายุและขับขี่ดี ไม่มีเคลม แต่กลับพบว่า บริษัทจำนวนมากยังไม่ได้ให้สิทธิส่วนลดนี้จริง
แต่เมื่อเวลาผ่านมากว่าหนึ่งปี คปภ. ตรวจสอบผ่านฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (Insurance Bureau System) กลับพบว่า แม้มีบริษัทถึง 13 รายที่ใช้ระบบนี้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงจัดให้ผู้เอาประกันภัยอยู่ใน ระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ ไม่มีส่วนลดเลย
เหตุผลที่ คปภ. เรียกชี้แจง
- ตรวจพบว่าไม่ได้ให้ส่วนลดจริง บริษัทประกันส่วนใหญ่ยังตั้งเบี้ยในระดับสูง โดยไม่ได้ปรับลดแม้ลูกค้าจะมีพฤติกรรมขับขี่ดี
- การใช้ “เงื่อนไขระบุชื่อผู้ขับขี่” ยังไม่แพร่หลาย ทั้งที่ คปภ. เคยออกคำสั่งให้นำไปใช้ เพื่อให้ผู้ขับที่มีวินัยได้รับสิทธิประโยชน์
- คปภ. ต้องการความชัดเจน ว่าทำไมบริษัทประกันไม่ทำตามแนวทาง และต้องเร่งหามาตรการแก้ไข เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ
ทำไมเบี้ยประกัน EV ยังแพง?
แม้จะมีเรื่องส่วนลด แต่ก็ยังมีปัจจัยหลักที่ทำให้ เบี้ย EV สูงกว่ารถทั่วไป ได้แก่
- แบตเตอรี่แพง : เสียหายแม้เล็กน้อยก็ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ค่าซ่อมอาจสูงถึงครึ่งหนึ่งของราคารถ
- อะไหล่–ศูนย์บริการจำกัด : ทำให้ค่าใช้จ่ายการซ่อมสูง
- ขาดสถิติข้อมูลเคลม : รถ EV ในไทยยังมีน้อย ทำให้บริษัทประกันประเมินความเสี่ยงไม่แม่น
- การแข่งขันน้อย : มีไม่กี่บริษัทที่รับประกัน EV อย่างจริงจัง ราคาจึงยังไม่ถูกลง
- ทุนประกันสูง : รถ EV มูลค่าสูงกว่า ทำให้เบี้ยประกันต้องสูงตาม
ผู้ขับ EV ควรทำอย่างไร?
- สอบถามสิทธิส่วนลด จากบริษัทประกัน ว่ามีการใช้เงื่อนไข “ระบุชื่อผู้ขับขี่” หรือยัง
- ตรวจสอบพฤติกรรมขับขี่ หากขับดี ไม่เคยมีเคลม ควรได้รับส่วนลดตามเกณฑ์
- ร้องเรียน คปภ. หากพบว่าไม่ได้รับสิทธิที่ควรได้ โทรสายด่วน 1186
สรุป
เบี้ยประกันรถ EV ที่ยังแพง ไม่ใช่เพราะผู้ขับไม่มีสิทธิส่วนลด แต่เพราะบริษัทประกันยังไม่ได้นำระบบดังกล่าวมาใช้จริง ประกอบกับต้นทุนซ่อมสูงและตลาดยังไม่กว้างพอ ทำให้ราคายังสูงอยู่
ข่าวดีคือ ตอนนี้ คปภ. กำลัง “กดดัน” บริษัทประกันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้นในอนาคต