Nissan Juke EV ใหม่จะใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Leaf ก่อนเปิดตัวปีหน้า

Nissan Juke EV ใหม่จะใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Leaf ก่อนเปิดตัวปีหน้า
Spread the love
Advertisement Advertisement






Nissan Juke EV ใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Leaf ใหม่: โตขึ้น ลดต้นทุน ลุ้นราคาดี ชน Toyota C-HR EV ในปี 2027

สรุปประเด็น: Nissan เตรียมทำ Juke EV ด้วยการใช้สถาปัตยกรรม CMF-EV ร่วมกับ Leaf เจเนอเรชันที่ 3 เพื่อประหยัดงบพัฒนาและลดต้นทุนชิ้นส่วนหลัก โดยมีแผนเริ่มผลิต ปลายปี 2026 ที่โรงงาน Sunderland (สหราชอาณาจักร) และคาดว่าจะพร้อมทำตลาดออสเตรเลียใน ปี 2027 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการมาของ Toyota C-HR EV

ทำไม “แชร์แพลตฟอร์ม” ถึงสำคัญต่อ Juke EV

การที่ Nissan เลือกให้ Juke EV ใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Leaf ใหม่ ไม่ใช่แค่การ “ยืมของ” กันแบบผิวเผิน แต่เป็นการแชร์โครงสร้างหลักของรถไฟฟ้าเกือบทั้งระบบ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมตัวถังและพื้นรถไปจนถึงชิ้นส่วนสำคัญที่มีราคาสูงในโลก EV ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มักชัดเจน 3 เรื่อง:

  • ลดต้นทุนการพัฒนา เพราะไม่ต้องออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ตั้งแต่ศูนย์
  • ลดต้นทุนต่อคัน จากการสั่งซื้อชิ้นส่วนหลักปริมาณมาก (economies of scale)
  • เร่งเวลาออกสู่ตลาด ใช้ฐานวิศวกรรมที่ผ่านการพัฒนาและทดสอบมาแล้ว

ในยุคที่การแข่งขัน EV รุนแรง “ต้นทุน” คือปัจจัยที่ตัดสินว่าแบรนด์จะตั้งราคาได้คมแค่ไหน โดยเฉพาะในกลุ่มครอสโอเวอร์ไซส์เล็ก-กลางที่ลูกค้ามีตัวเลือกมาก และอ่อนไหวต่อราคาเป็นพิเศษ

CMF-EV คืออะไร และทำไม Nissan เลือกทางนี้

CMF-EV คือสถาปัตยกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้กับรถไฟฟ้ารุ่นสำคัญในเครือของ Nissan (และพันธมิตร) โดยจุดแข็งของแพลตฟอร์มประเภทนี้คือ “ยืดหยุ่น” พอที่จะสร้างรถได้หลายทรง ตั้งแต่แฮตช์แบ็กไปถึงครอสโอเวอร์ และยังรองรับการวางแบตเตอรี่ใต้พื้นรถเพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยเรื่องการขับขี่และการจัดสรรพื้นที่ห้องโดยสาร

สำหรับ Nissan การใช้ CMF-EV ร่วมกันระหว่าง Leaf ใหม่และ Juke EV ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” ในด้านการลงทุน เพราะบริษัทกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องบริหารต้นทุนเข้มงวดจากแรงกดดันด้านยอดขายในตลาดใหญ่หลายแห่ง

ผลิตที่ Sunderland ปลายปี 2026: สัญญาณว่าพร้อมลุยจริง

โรงงาน Sunderland ในสหราชอาณาจักรเป็นฐานการผลิตสำคัญของ Nissan ในยุโรป และยังเป็นที่ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตของ Leaf มาอย่างยาวนาน การยืนยันว่า Juke EV จะเริ่มผลิตปลายปี 2026 ที่นี่ ทำให้ภาพรวมชัดขึ้นว่าโปรเจกต์นี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ข่าวลือ แต่มีโรดแมปการผลิตจริง พร้อมการแชร์สายการผลิต/ซัพพลายเออร์ร่วมกับ Leaf เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

Advertisement Advertisement

อีกนัยหนึ่งคือ Nissan ต้องการทำให้ Juke EV มีต้นทุนที่ “คุมได้” ตั้งแต่ต้นน้ำ (การออกแบบ) ไปถึงปลายน้ำ (การผลิต) เพื่อให้มีพื้นที่ในการตั้งราคาแข่งขันเมื่อเข้าสู่โชว์รูม

Juke EV จะ “โตขึ้น” จาก Juke เครื่องยนต์เดิม เพราะอะไร

Juke เครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบันอยู่คนละแพลตฟอร์มกับ CMF-EV เมื่อเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรม EV ใต้พื้นรถจะถูกจัดวางชุดแบตเตอรี่เป็นหลัก ทำให้ต้องปรับสัดส่วนตัวถังและระยะฐานล้อเพื่อให้ลงตัว ทั้งด้านโครงสร้าง ความปลอดภัย และพื้นที่ใช้งานจริง

ผลที่พบได้บ่อยในรถที่ย้ายจากแพลตฟอร์ม ICE ไป EV-platform คือ:

  • ระยะฐานล้อยาวขึ้น ช่วยให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น
  • สัดส่วนตัวถังเปลี่ยน เน้นพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
  • ภาพลักษณ์ภายนอก “ใหญ่ขึ้น” ในสายตาผู้บริโภค

สำหรับ Juke EV นี่อาจเป็นโอกาสในการ “อัปเกรด” ความเป็นครอสโอเวอร์ให้จริงจังขึ้น ทั้งด้านพื้นที่และความเอนกประสงค์ โดยยังคงจุดขายด้านดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์

แบตเตอรี่ร่วมกล่องระบายความร้อน แต่ “ความจุเล็กกว่า Leaf”

รายงานระบุว่า Juke EV จะใช้ กล่องแบตเตอรี่แบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ร่วมกับ Leaf ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมอุณหภูมิแบตเตอรี่ให้เสถียร ช่วยทั้งเรื่องสมรรถนะและความทนทานในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม Juke EV มีแนวโน้มใช้ แพ็กแบตเตอรี่ความจุน้อยกว่า Leaf เพื่อจัดตำแหน่งสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มตลาดและราคา นี่เป็นกลยุทธ์ที่พบได้บ่อย: รุ่นที่เล็กกว่า/ไลฟ์สไตล์กว่า มักให้แบตฯ เล็กลงเพื่อคุมราคาและน้ำหนัก แต่ยังให้ระยะทางเพียงพอต่อการใช้งานเมือง

ขณะที่ Leaf ใหม่ถูกพูดถึงว่าจะมีตัวเลือกแบตเตอรี่ 52kWh และ 75kWh (เคมี NMC) พร้อมระยะทางมาตรฐาน WLTP สูงสุดราว 600 กม. และรองรับหัวชาร์จแบบ CCS ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญต่อการใช้งานจริงในหลายตลาด

ดีไซน์ “คนรักก็รัก คนไม่ชอบก็ไม่ชอบ” คือภาพจำของ Juke

จุดแข็งของ Juke ตลอดมาคือบุคลิกด้านงานออกแบบที่ “แหวก” และมีเอกลักษณ์สูง ซึ่งผู้บริหารด้านดีไซน์ของ Nissan ย้ำว่า Juke EV จะมีบุคลิกที่ แตกต่างและชวนถกเถียง มากกว่า Leaf

แปลเป็นภาษาตลาดได้ว่า Nissan ไม่ต้องการให้ Juke EV เป็นแค่ “Leaf ยกสูง” แต่ต้องมีตัวตนชัดเจนของตัวเอง เพื่อดึงลูกค้าที่เลือกซื้อจากสไตล์และความแตกต่าง ไม่ใช่เลือกจากเหตุผลล้วน ๆ

ศึกปี 2027 Juke EV ปะทะ Toyota C-HR EV

ปี 2027 ถูกมองว่าเป็นปีที่ตลาดครอสโอเวอร์ไฟฟ้าจะเดือดขึ้นอีกขั้น เพราะผู้เล่นหลักเริ่มส่งของครบ โดยฝั่ง Toyota มีการยืนยันแล้วว่า C-HR EV จะมาพร้อมแบตเตอรี่ราว 74.7kWh มอเตอร์หน้า 224 แรงม้า PS และแรงบิด 269Nm พร้อมตัวเลขระยะทางในต่างประเทศที่แตะระดับ 600 กม. ต่อการชาร์จ

ดังนั้นภาพการแข่งขันจึงไม่ใช่แค่ “ใครวิ่งไกลกว่า” แต่รวมถึง:

  • ราคาเปิดตัว และแคมเปญทางการเงิน
  • ความพร้อมของเครือข่ายบริการ และการรับประกัน
  • ความง่ายในการชาร์จ มาตรฐานหัวชาร์จ/ความเร็วชาร์จ
  • คาแรกเตอร์สินค้า ดีไซน์ ภาพลักษณ์ และประสบการณ์ใช้งาน

ถ้า Nissan คุมต้นทุนได้ดีจากการแชร์แพลตฟอร์มกับ Leaf ก็มีโอกาสทำราคา Juke EV ให้ “เข้าถึงง่าย” เพื่อสู้กับคู่แข่งโดยตรง

สถานะในออสเตรเลีย และสิ่งที่ต้องจับตาต่อ

แม้ Leaf ใหม่ถูกยืนยันแล้วว่าจะเข้าสู่โชว์รูมออสเตรเลียราว มีนาคม–เมษายน 2026 แต่ Juke EV ยังไม่ถูกประกาศเป็นทางการสำหรับไลน์อัปท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม จากกรอบเวลาการผลิตปลายปี 2026 และกำหนดทำตลาดในปี 2027 ทำให้เป็นไปได้สูงว่าตลาดนี้อยู่ในแผน

ขณะเดียวกัน Nissan ก็เดินหน้าเสริมพอร์ต EV มากขึ้น เช่น Ariya ที่เปิดตัวแล้ว และ Micra EV ที่ถูกเผยโฉมแต่ยังไม่ล็อกตลาด ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางว่าบริษัทกำลังปูทางให้ไลน์อัปไฟฟ้าครอบคลุมหลายเซ็กเมนต์

บทสรุป Juke EV คือ “หมากสำคัญ” ของ Nissan ในยุค EV

การให้ Juke EV แชร์แพลตฟอร์ม CMF-EV กับ Leaf ใหม่ คือการตัดสินใจที่มีนัยสำคัญทั้งด้านต้นทุนและการแข่งขัน เพราะช่วยให้ Nissan ลดภาระการลงทุน ขณะเดียวกันก็ทำให้ Juke EV มีโอกาสออกมาในขนาดที่ “ใช้งานจริง” มากขึ้น และอาจตั้งราคาได้คมพอจะชนกับ Toyota C-HR EV ในปี 2027

สิ่งที่ควรติดตาม: ความจุแบตเตอรี่จริงของ Juke EV, ตัวเลขระยะทาง/อัตราเร่ง, สเปกการชาร์จ (AC/DC), ออปชันความปลอดภัยและระบบช่วยขับ รวมถึงการยืนยันตลาดออสเตรเลีย (และตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค) อย่างเป็นทางการ

Carexpert

 

autoexpress

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้