เข้าสู่ยุค 50 กม./ลิตร GEELY เปิดตัว Thor AI Hybrid 2.0 PHEV ประสิทธิภาพความร้อนสูงถึง 47.26%

Geely เปิดตัวระบบขับเคลื่อน Thor AI Hybrid 2.0 PHEV อย่างเป็นทางการในจีน
ไฮไลต์สำคัญของระบบใหม่นี้คือเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพความร้อน (Thermal Efficiency) สูงถึง 47.26% ซึ่งสูงกว่าระบบ DM-i ของ BYD ที่ทำได้ 46.06% โดย Thor AI Hybrid 2.0 จะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
- EM-i (เครื่องยนต์ NA)
- EM-P (เครื่องยนต์เทอร์โบ + ขับเคลื่อน 4 ล้อ)
- รุ่นไฮโดรเจน
ย้อนกลับไปในปี 2021
Geely เปิดตัวระบบ Thor Hybrid รุ่นแรก มาพร้อมเครื่องยนต์ที่มี Thermal Efficiency 43.32% และเกียร์ DHT แบบ 3 สปีด ซึ่งใช้ชื่อเรียกสลับกันระหว่าง “Thor” กับ “NordThor” โดยปัจจุบันเลือกใช้ชื่อ Leishen / NordThor ในข่าวประชาสัมพันธ์
เครื่องยนต์ไฮบริด AI EM-i ของ Raytheon มาพร้อมกับประสิทธิภาพความร้อนของเครื่องยนต์ไฮบริดที่ผลิตจำนวนมากที่สุดในโลกที่ 47.26% และยังเป็นฟังก์ชันการตัดสินใจแบบไม่ต้องใช้แผนที่ตัวแรกของอุตสาหกรรมอีกด้วย
รายละเอียด Thor AI Hybrid 2.0
หัวใจหลักของระบบใหม่คือเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร แบบ NA ซึ่งให้ประสิทธิภาพความร้อนสูงถึง 47.26% โดยยังเสริมด้วย AI Algorithm ที่ช่วยควบคุมกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างแม่นยำ ส่งผลให้ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวขึ้นถึง 15%
1. Thor EM-i (NA)
- ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร NA
- รุ่นแรกที่ใช้ระบบนี้คือ Geely Galaxy A7 (ซีดาน)
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: 2 ลิตร / 100 กม.
- ระยะทางวิ่งรวม (น้ำมัน + ไฟฟ้า): 2,100 กม.
- เตรียมวางจำหน่ายในจีน ช่วงครึ่งหลังปี 2025
2. Thor EM-P (Turbo + AWD)
- ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ + ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
- รุ่นแรกที่ใช้ระบบนี้คือ Geely Galaxy M9 (SUV ขนาดใหญ่)
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: 4.8 ลิตร / 100 กม.
- ระยะทางวิ่งรวม: 1,500 กม.
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 4.5 วินาที
- วางจำหน่ายในจีน ช่วงครึ่งหลังปี 2025
3. ThorHydrogen
- ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบไฮโดรเจน
- ประสิทธิภาพความร้อนทะลุ 48.15% (สูงสุดเป็นประวัติการณ์)
- จะถูกติดตั้งใน ซีดาน และ SUV
- เริ่มทำตลาดในจีน ไตรมาส 4 ปี 2025
ระบบ Thor AI Hybrid 2.0 ถือเป็นก้าวสำคัญของ Geely ในการพัฒนาเทคโนโลยี PHEV และ ICE ด้วยการผสาน AI เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ พร้อมยกระดับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้แซงหน้าคู่แข่งอย่าง BYD อย่างชัดเจน
ประสิทธิภาพความร้อน (Thermal Efficiency) สำคัญอย่างไร ?
1. ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
- ถ้าเครื่องยนต์มี Thermal Efficiency สูง เช่น 47% แปลว่ามากกว่าครึ่งของพลังงานในน้ำมันจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังขับเคลื่อนจริงๆ
- เทียบกับเครื่องยนต์ทั่วไปที่มีประสิทธิภาพแค่ 30–40% ซึ่งส่วนใหญ่พลังงานหายไปกับ “ความร้อนที่สูญเปล่า”
2. ลดมลพิษ / ลดการปล่อยคาร์บอน
- เมื่อเครื่องยนต์ใช้พลังงานได้คุ้มค่า → ต้องเผาน้ำมันน้อยลง → ปล่อยมลพิษน้อยลง
- ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการผ่านมาตรฐานมลพิษระดับโลก
3. ช่วยให้เครื่องยนต์เล็กลงแต่แรงขึ้น
- เครื่องยนต์ที่มี Thermal Efficiency สูงสามารถรีดพลังได้มากขึ้นจากขนาดที่เล็กลง
- ทำให้รถยนต์น้ำหนักเบาลง ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น แต่ยังให้สมรรถนะดี
4. ใช้ควบคู่กับระบบ Hybrid ได้ดีขึ้น
- ในระบบไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เครื่องยนต์มักทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
- Thermal Efficiency ที่สูง ช่วยให้ระบบรวมทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในการชาร์จแบตและขับเคลื่อน