แค่ 7 เดือน ภาษีรถยนต์จัดเก็บภาษีรลดลง1.7 หมื่นล้าน พิษเศรษฐกิจซบเซา-หรือ EV ดาบสองคม

แค่ 7 เดือน ภาษีรถยนต์จัดเก็บภาษีรลดลง1.7 หมื่นล้าน พิษเศรษฐกิจซบเซา-หรือ EV ดาบสองคม
Spread the love
Advertisement

Advertisement

รัฐบาลไทยเผชิญภาวะเก็บภาษีรถยนต์พลาดเป้า รายได้วูบหลายหมื่นล้านบาท

3 ก.ค.2568 กรุงเทพมหานคร – รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านรายได้ หลังการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าประมาณการไปกว่า 1.27 หมื่นล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานหลักที่จัดเก็บรายได้พลาดเป้าอย่างมีนัยสำคัญ

สาเหตุหลักของการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ลดลงอย่างน่าใจหาย มาจากปัจจัยสำคัญหลายประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งจากนโยบายของภาครัฐและสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

นโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำรายได้ภาษีหด

ปัจจัยสำคัญที่สุดคือมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล ที่กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ 2% ซึ่งต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่มีอัตราภาษีสูงถึง 25-35% อย่างมาก แม้ว่านโยบายนี้จะประสบความสำเร็จในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ในทางกลับกันก็ทำให้รายได้ภาษีที่เคยเป็นกอบเป็นกำจากรถยนต์สันดาปหายไปจำนวนมาก

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า ในเดือนเมษายน 2568 การจัดเก็บภาษีรถยนต์ลดลงถึง 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตเก็บภาษีรถยนต์ได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.76 หมื่นล้านบาท

ยอดขายรถยนต์ในประเทศชะลอตัวซ้ำเติม

นอกเหนือจากผลกระทบของนโยบาย EV แล้ว ตลาดรถยนต์โดยรวมในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะซึ่งเคยเป็นตลาดหลัก มีแนวโน้มหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ซ้ำเติมด้วยความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงและชะลอการตัดสินใจซื้อรถใหม่

มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลกระทบภาพรวม

แม้จะไม่ใช่ภาษีรถยนต์โดยตรง แต่มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพยุงค่าครองชีพ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้รวมของกรมสรรพสามิตลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเช่นกัน

สถานการณ์ล่าสุดและแนวโน้ม

จากสถานการณ์ดังกล่าว นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมายอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2568 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ชี้ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนและนโยบายเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะติดตามและบริหารการจัดเก็บรายได้อย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความมั่นคงทางการคลังต่อไป

นักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์การจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ต่ำกว่าเป้านี้ เป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลในการรักษาสมดุลระหว่างการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ การดูแลค่าครองชีพของประชาชน และการรักษาวินัยทางการคลังในระยะยาว

สรุปข่าว รัฐบาลเก็บภาษีรถยนต์พลาดเป้า กระทบรายได้รัฐ

รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับภาวะการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเก็บ “ภาษีสรรพสามิตรถยนต์” ที่ลดลงอย่างมากในช่วงปีงบประมาณ 2568

สาเหตุสำคัญมี 3 ประการหลัก

  • นโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV): รัฐบาลเก็บภาษีรถ EV ในอัตราที่ต่ำมาก (2%) เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแม้จะทำให้ยอดขาย EV พุ่งสูงขึ้น แต่ก็ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาลที่เคยได้จากรถยนต์สันดาป (ภาษี 25-35%)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศชะลอตัว: สภาพเศรษฐกิจโดยรวมและหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะซึ่งเป็นตลาดใหญ่ หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
  • สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ: ธนาคารและไฟแนนซ์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้น ทำให้คนซื้อรถได้ยากขึ้น

ผลกระทบ:

  • ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 67 – พ.ค. 68) การจัดเก็บรายได้โดยรวมของรัฐบาล ต่ำกว่าเป้าหมายไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
  • กรมสรรพสามิต เป็นหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยการเก็บภาษีรถยนต์เพียงอย่างเดียวในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ ลดลงไปถึงกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

bangkokbiznews

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้