2.5L Atkinson iVCT I-4 ของ FORD Maverick HYBRID ประหยัดถึง 22.3 กม./ลิตร NEDC ในสหรัฐฯ

2.5L Atkinson iVCT I-4 ของ FORD Maverick HYBRID ประหยัดถึง 22.3 กม./ลิตร NEDC ในสหรัฐฯ
Spread the love
Advertisement Advertisement

 

Ford Maverick Hybrid 2.5L Atkinson จากวันเปิดตัว (2021) ถึงรุ่นปี 2025 กระบะไฮบริดมาตรฐานคันแรกในตลาดแมสของสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2021 ฟอร์ดเปิดตัว Maverick กระบะคอมแพ็กต์ตัวถังยูนิบอดี้ ที่ “ตั้งต้นด้วยขุมพลังไฮบริดเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน”—จุดยืนที่พลิกภาพจำของกระบะอเมริกัน เน้นความประหยัด น้ำหนักเบา และใช้งานง่ายในเมือง ก่อนจะเริ่มขายปลายปี 2021 ในฐานะ รุ่นปี 2022. ฟอร์ดยืนยันตั้งแต่วันเปิดตัวว่า Maverick ไฮบริดวิ่งในเมืองได้ 42 mpg (EPA) และตั้งราคาเริ่มต่ำเพื่อดึงลูกค้าใหม่เข้าสู่โลกกระบะขนาดเล็กอีกครั้ง.

ไทม์ไลน์แบบย่อย (2021–2025)

  • 2019–2020 (ฉากหลัง): ชื่อ “Maverick” เคยใช้กับรถคอมแพ็กต์ของฟอร์ดในยุค 1970s ก่อนถูกปัดฝุ่นกลับมาเป็นชื่อกระบะใหม่ในโครงการรหัส P758 บนแพลตฟอร์ม Ford C2 (ร่วมกับ Escape / Bronco Sport).

  • 8 มิ.ย. 2021: เปิดตัว Maverick ใหม่—กระบะ 4 ประตู 5 ที่นั่ง ไฮบริดมาตรฐาน ผลิตที่ Hermosillo Assembly, Sonora, Mexico.

  • MY2022–2024: ไฮบริดมี FWD เท่านั้น; หากต้องการ AWD ต้องเลือกเครื่อง 2.0L EcoBoost. EPA ของไฮบริด FWD = 42/33/37 mpg (เมือง/ทางไกล/รวม).

  • MY2025 (จุดเปลี่ยน): ฟอร์ดเพิ่มตัวเลือก AWD ให้รุ่นไฮบริด เป็นครั้งแรก ปรับหน้าตา/อินโฟเทนเมนต์ใหม่ หน้าจอ 13.2 นิ้ว และแพ็กเกจพ่วงลากที่ “ดับเบิล” ความสามารถลากของรุ่นไฮบริดได้ถึง 1,814 กก. (พร้อม 4K Tow Package).

สถาปัตยกรรมรถ & การผลิต

  • โครงสร้าง: ยูนิบอดี้ 4 ประตู (SuperCrew) ฐานล้อ 121.1 นิ้ว บนแพลตฟอร์ม C2 (ขับหน้าเป็นฐาน, มี AWD ตามรุ่นย่อย)

  • แหล่งผลิตหลัก: โรงงาน Hermosillo Stamping & Assembly เม็กซิโก (ผลิตทั้ง Bronco Sport และ Maverick สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ)

หัวใจหลัก: 2.5L Atkinson-cycle I4 (FHEV) + PowerSplit e-CVT

ภาพรวมเครื่องยนต์ (ข้อมูลจากเอกสารเทคนิค MY2025 ของฟอร์ด)

  • บล็อก/ฝาสูบอะลูมิเนียม, DOHC, iVCT, อัตราส่วนกำลังอัด 13.0:1

  • กระบอกสูบ/ช่วงชัก 3.50 × 3.94 นิ้ว (≈ 88.9 × 100.1 มม.), ปริมาตร 2,488 ซีซี

  • เครื่องยนต์ให้กำลัง 191 hp @ 5,600 rpm (รวมระบบ Hybrid 191 hp), แรงบิดเครื่องยนต์ 210 นิวตัน-เมตร@ 4,000 rpm

  • มอเตอร์ขับ แบบ Permanent-magnet ให้กำลังสูงสุด  125 HP , ระบบเกียร์ PowerSplit e-CVT

  • ถังเชื้อเพลิง 52.25 ลิตร, น้ำมันเครื่อง 5.39 ลิตร, ระบบแบตเตอรี่ ระบายความร้อนด้วยของเหลว ติดตั้งใต้ห้องโดยสารฝั่งผู้โดยสาร

  • ผลิตเครื่องยนต์ ที่รัฐชิวาวา เม็กซิโก (ตัวเลขทั้งหมดอ้างอิงเอกสารเทคนิคทางการของ Ford Maverick MY2025)

หมายเหตุ: ความจุแบตเตอรี่ไฮบริดของ Maverick อยู่ที่ ราว 1.1 kWh (ข้อมูลจำเพาะระบบของแพลตฟอร์มไฮบริดร่วมกับ Escape)

สมรรถนะการบรรทุก/ลาก และช่วงล่าง (MY2025)

  • Payload: ไฮบริด FWD 680 กก., ไฮบริด AWD 635 กก.

  • Towing: มาตรฐาน 907 กก., และเป็น 1,814 กก. เมื่อติดตั้ง 4K Tow Package (ใช้ได้ทั้งไฮบริด/AWD และ EcoBoost ยกเว้น Tremor)

  • ช่วงล่างหลัง: ไฮบริด FWD ใช้ทอร์ชั่นบีมพร้อม “Force-Vectoring Springs”; ไฮบริด/EcoBoost AWD ใช้มัลติลิงก์ (รุ่น FX4/Tremor มีโช้กโมโนทิวบ์/สเปกเฉพาะ)

ความประหยัดเชื้อเพลิง (EPA) และแปลงหน่วยเป็น “กม./ลิตร”

  • ไฮบริด FWD (MY2022–2024): 42/33/37 mpg → ประมาณ 17.9 / 14.0 / 15.7 กม./ลิตร
    (คูณ 0.425 เพื่อแปลง mpg → กม./ลิตร)

  • ไฮบริด AWD (MY2025): 40 mpg เมือง (ประมาณ 17.0 กม./ลิตร) — ค่ารวม (combined) ที่สื่อทดสอบรายงาน ≈ 37 mpg (≈ 15.7 กม./ลิตร).

สำหรับผู้เขียนสายรีวิว: ถัง 52.25 ลิตร × 37 mpg (รวม) ให้ระยะวิ่งทฤษฎี 510 ไมล์ (820 กม.) ต่อถังในสภาพ EPA—ตัวเลขจริงขึ้นกับน้ำหนัก/ภูมิประเทศ/ความเร็วลม ฯลฯ.

จุดอัปเดตสำคัญของ MY2025

  • AWD สำหรับรุ่นไฮบริด (ครั้งแรก) ตอบเสียงเรียกร้องลูกค้า โดยยังคงความประหยัดระดับสูง

  • จอ 13.2 นิ้ว + Wireless Apple CarPlay/Android Auto, โมเด็ม 5G (ตามสเปกสื่อ), ชุดช่วยพ่วง Pro Trailer Hitch/Backup Assist (ทยอยปล่อยต้นปี 2025)

  • ดีไซน์หน้า-หลัง/ไฟ DRL โทน F-150 มากขึ้น, มี Black Package และรุ่น Lobo (สายถนน/สมรรถนะ) ให้เลือกในบางตลาด/เกรด

ภาพรวมเชิงกลยุทธ์

Maverick เป็น “กรณีศึกษา” ว่ากระบะขนาดเล็ก-ไฮบริดสามารถดึงลูกค้าใหม่นอกวงการกระบะเดิม ๆ ได้จริง ด้วย ต้นทุนถือครองต่ำ + ฟังก์ชันบรรทุกพอเหมาะ. ความนิยมต่อเนื่องทำให้ฟอร์ด “ยกระดับ” สเปกปี 2025 (AWD/จอใหญ่/โทว์แพ็กเกจ) โดยยังคุมความประหยัดไว้ในระดับที่ผู้ใช้จริงรับรู้ได้.

“สเปกย่อยแบบยิงสรุป”

  • เครื่องยนต์: 2.5L Atkinson iVCT I-4 (Alu block/head), 13.0:1, Bore×Stroke 3.50×3.94 in

  • มอเตอร์/แบตฯ: PM motor 125 HP ; Li-ion ~1.1 kWh, liquid-cooled

  • ระบบส่งกำลัง: PowerSplit e-CVT (ไฮบริด), 8AT (EcoBoost)

  • ระบบขับเคลื่อน: ไฮบริด FWD/AWD (MY2025); EcoBoost AWD

  • ถังเชื้อเพลิง: 52.25 ลิตร

  • Payload/Towing:  635 – 680 กก. /  907 –  1,814 กก. (ตามแพ็กเกจ)

  • EPA (FWD Hybrid): 42/33/37 mpg ≈ 17.9/14.0/15.7 กม./ลิตร

  • ฐานล้อ/ตัวถัง: 121.1 in; ยูนิบอดี้ SuperCrew; ผลิต Hermosillo, Mexico

Ford Maverick Hybrid คือตัวแทน “กระบะยุคใหม่” ที่เปิดตัวปี 2021 ด้วยแนวคิดไฮบริดมาตรฐาน แล้วพัฒนาเรื่อยมา—จน MY2025 ได้ AWD โดยยังรักษาความประหยัดระดับ 16 กม./ลิตร (combined) และโทว์สูงสุด 1,814 กก. (เมื่อติดตั้งแพ็กเกจ) พร้อมเทคโนโลยีในรถที่ทันสมัยขึ้น. สำหรับตลาดอาเซียน/ไทย แม้ Maverick จะยังทำตลาดหลักในอเมริกาเหนือ แต่ “บทเรียน Maverick” ชี้ชัดว่า กระบะประหยัด-ใช้งานง่าย-ขนาดพอดี มีพื้นที่เติบโต—และทำให้ผู้เล่นรายอื่น (รวมถึงแบรนด์ญี่ปุ่น/จีน) ต้องเร่งพัฒนาทางเลือกไฮบริดมากขึ้นในปีถัดไป.

แปลงอัตราประหยัดของ Ford Maverick Hybrid

มาตรฐาน ค่าเดิม (EPA) แปลงเป็น NEDC (+25%) แปลงเป็น กม./ลิตร
เมือง (City) 42 mpg ≈ 52.5 mpg NEDC 22.3 กม./ลิตร
ทางไกล (Highway) 33 mpg ≈ 41.3 mpg NEDC 17.6 กม./ลิตร
เฉลี่ย (Combined) 37 mpg ≈ 46.3 mpg NEDC 19.6 กม./ลิตร

 

Preproduction model shown. Available early 2025.

Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.
35mm. camera height 113 inches. Distance to rear hub is 145 inches. Distance to rear window opposite corner 163.5 inches. Distance to top tail light is 94 inches.
Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.

Preproduction model shown. Available early 2025.
Preproduction model shown. Available early 2025.

Advertisement Advertisement

 

วันที่ 31 กรกฏาคม 2024 FORD สหรับอเมริกา ประกาศเปิดตัว Ford Maverick รุ่น Refreshed ปรับโฉมใหม่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฮบริด พร้อมพลังลากจูงที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมการออกแบบใหม่ที่น่าสนใจมากกว่า การอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดและเป็นคำขออันดับหนึ่งจากเจ้าของรถคือการเพิ่มรุ่นไฮบริดขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งมีให้เลือกในรุ่น XL, XLT และ Lariat

  • Ford Maverick จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่นๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้
  • นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2021 Maverick ที่ผลิตในเม็กซิโก ซึ่งเป็นรถระดับเริ่มต้นของ Ford ก็ทำผลงานได้เกินความคาดหมาย โดยดึงดูดลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์และกลุ่มรถบรรทุก รวมถึงผู้ซื้อที่อายุน้อยกว่า
  • เจมส์ กิลพิน ผู้จัดการแบรนด์ Maverick กล่าวว่า ผู้ซื้อ Maverick ร้อยละ 60 เป็นลูกค้ารายใหม่ของ Ford ร้อยละ 80 เป็นลูกค้ารายใหม่ในกลุ่มรถบรรทุก และมากกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้สนใจรถรุ่นอื่น ๆ เจมส์ กิลพิน ผู้จัดการแบรนด์ Maverick กล่าวว่า ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 81 เมื่อเทียบปีต่อปี และยอดขาย Maverick ในสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งแรกของปี ยอดขายจึงมีแนวโน้มว่าจะแซงหน้ายอดขายประมาณ 94,000 คันเมื่อปีที่แล้ว

Maverick ซึ่งเป็นรถกระบะขนาดเล็กยอดนิยมของบริษัท Ford Motor Co. กำลังจะมีการปรับโฉมใหม่ในปี 2025 โดยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมระบบส่งกำลังไฮบริด เทคโนโลยีการลากจูงแบบใหม่ และหน้าจอสัมผัสระบบข้อมูลความบันเทิงที่ใหญ่ขึ้น

รุ่นที่ปรับปรุงใหม่จะมีราคาเริ่มต้นที่ 26,295 – 40,495 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 849,000 – 1,308,000 บาท บวกกับอีก 1,595 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับปลายทางและการจัดส่ง เมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้นของรุ่นปีที่แล้ว 23,920 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 773,000 บาท  การสั่งซื้อจะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2024

Ford Maverick 2025 สะท้อนถึงการเรียนรู้ของ Ford หลังจากส่งมอบรถบรรทุกคันนี้ให้กับลูกค้า ด้วยตัวเลือกระบบส่งกำลังใหม่ที่มีให้ในรุ่น XL, XLT และ Lariat ลูกค้าของ Maverick ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตรยังคงสามารถประหยัดน้ำมันได้ 17 กม./ลิตร EPA

Maverick มีให้เลือกสองรุ่นย่อย ได้แก่ EcoBoost และ Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost ขนาด 2.0 ลิตร:

  • กำลังสูงสุด 238 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุด 307 นิวตันเมตร
  • จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
  • ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD)
  • รองรับการลากจูงสูงสุด 1,814 กิโลกรัม เมื่อเลือกแพ็คเกจลากจูง 4K

เครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 2.5 ลิตร:

  • ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 191 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร
  • จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT
  • มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) และขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD)
  • อัตราการประหยัดน้ำมันสำหรับรุ่น FWD อยู่ที่ประมาณ 17 กม./ลิตร และรุ่น AWD ประมาณ 16 กม./ลิตร
  • รองรับการลากจูงสูงสุด 1,814 กิโลกรัม เมื่อเลือกแพ็คเกจลากจูง 4K

ขนาดตัวถัง

  • ความยาว (Length) : 5,325 มม.
  • ความกว้าง (Width) :  1,855 มม.
  • ความสูง (Height) :  1,815 มม.
  • ฐานล้อ (Wheelbase) : 3,085 มม.

การออกแบบภายนอก

ภายนอกได้รับการออกแบบที่ทันสมัย ไฟหน้า LED ทรงเข้ม กันชนหน้า และกระจังหน้าได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดและเป็นมาตรฐานสำหรับรูปลักษณ์ใหม่ ในรุ่นที่สูงกว่าจะมีไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์ LED พร้อมไฟ LED ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเพื่อให้รถดูโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหราขึ้น กระจังหน้ามีหลากหลายรุ่นเพื่อให้แต่ละรุ่นมีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ล้อขนาด 19 นิ้วใหม่ในรุ่น Lariat ช่วยเพิ่มความซับซ้อนให้กับรุ่นดังกล่าว

  • ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบออฟโรดสามารถเลือกรุ่น Tremor ได้เช่นเดียวกับรถกระบะรุ่นอื่นๆ ของ Ford โดยมาพร้อมกล้อง 360 องศาและโหมดขับขี่แบบแป้นเหยียบเดียวใหม่ แพ็คเกจออฟโรด FX4 ยังคงมีให้เลือกในรุ่น XLT
  • นอกจากนี้ยังมีแพ็คเกจสีดำใหม่พร้อมกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ หลังคาสีดำ ตราสัญลักษณ์ Ford สีดำ และล้อสีดำเงาขนาด 19 นิ้ว

ภายในห้องโดยสาร

ภายใน ความแตกต่างของการตกแต่งยังคงดำเนินต่อไปด้วยสีและวัสดุตกแต่งใหม่ทั่วทั้งประตู แผงหน้าปัด คอนโซล และเบาะนั่ง ลูกค้าขอให้เลือกสีตกแต่งภายในใหม่ ดังนั้นธีม Aspen Gray/Navy Pier ของรุ่น XLT จึงมาพร้อมกับสี Grabber Blue ส่วน Lariat เพิ่มธีม Smoke Truffle พร้อมสีบรอนซ์

พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 13.2 นิ้วที่รองรับ Sync 4 รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายแล้ว ซึ่งเป็นการอัปเกรดจากหน้าจอ Sync 3 ขนาด 8 นิ้วในรุ่นปีปัจจุบัน พร้อมระบบจดจำเสียงขั้นสูงและระบบนำทางที่เชื่อมต่อได้ โมเด็ม 5G ในตัวใหม่ช่วยให้ Maverick มีเทคโนโลยีไร้สายล่าสุด และช่วยให้ Maverick สามารถรับการอัพเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ระบบรถยนต์เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

ลูกค้าใช้ Maverick ในสภาพแวดล้อมในเมืองที่มีมุมแคบและที่จอดรถขนาดเล็ก การขับขี่ทำได้ง่ายด้วยกล้อง 360 องศา ซึ่งเป็นกล้องใหม่สำหรับปี 2025 และเป็นกล้องที่ลูกค้าชื่นชอบซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับ F-Series กล้องดังกล่าวจะแสดงภาพแบบแยกส่วนของสิ่งที่อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังรถโดยตรง รวมถึงมุมมองการจราจรข้ามถนน

ระบบจัดเก็บของ FLEXBED ®หรือระบบ Ford Integrated Tether ซึ่งช่วยให้สามารถพิมพ์ชิ้นส่วนแบบกำหนดเองในรูปแบบ 3 มิติได้ เช่น ปลอกสายชาร์จ แผ่นกั้นคอนโซล และที่วางแก้วแบบกำหนดเอง

Pro Trailer Hitch Assist และ Pro Trailer Backup Assist ถือเป็นคุณสมบัติมาตรฐานใหม่ในรุ่น Lariat และ Tremor

  • ระบบช่วยต่อพ่วงรถพ่วง Pro Trailer Hitch Assist ช่วยให้คุณไม่ต้องหงุดหงิดใจเมื่อต้องต่อพ่วงรถพ่วง โดยระบบจะทำงานโดยใช้กล้องด้านหลังและเรดาร์ที่มุมเพื่อปรับตำแหน่งตัวต่อพ่วงให้ตรงกับตัวต่อพ่วงรถพ่วง ขณะเดียวกันก็ควบคุมความเร็ว การบังคับเลี้ยว และการเบรกของรถบรรทุกเพื่อให้หยุดในตำแหน่งที่เหมาะสม
  • เมื่อเชื่อมต่อแล้ว ระบบ Pro Trailer Backup Assist จะทำให้การถอยรถพ่วงง่ายดายเพียงแค่หมุนปุ่มเพื่อระบุทิศทางที่รถพ่วงควรไปในขณะถอยรถเข้าตำแหน่ง

ระบบความปลอดภัย

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Ford Co-Pilot360

  • Pre-Collision Assist with Automatic Emergency Braking (AEB): ระบบแจ้งเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยงจากการชน
  • Blind Spot Information System (BLIS): ระบบตรวจจับจุดบอด พร้อมแจ้งเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตา
  • Lane-Keeping System: ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน พร้อมเตือนเมื่อรถออกนอกเลน
  • Adaptive Cruise Control: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชันหยุดและออกตัว (Stop & Go)
  • Rear Cross-Traffic Alert: ระบบเตือนการชนขณะถอยรถ หากมีรถเคลื่อนผ่านด้านหลัง

ระบบป้องกันอุบัติเหตุ

  • AdvanceTrac with Roll Stability Control (RSC): ระบบควบคุมเสถียรภาพและลดโอกาสพลิกคว่ำ
  • Anti-lock Braking System (ABS): ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก
  • Electronic Stability Control (ESC): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ
  • Traction Control System (TCS): ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี

ระบบช่วยจอด

  • Active Park Assist 2.0: ระบบช่วยจอดอัตโนมัติทั้งแนวตั้งและแนวนอน
  • Rear View Camera: กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะ
  • 360-Degree Camera: กล้องมองรอบคัน (เฉพาะรุ่นสูงสุด)

ถุงลมนิรภัย

  • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง รวมถึงถุงลมสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและด้านข้าง
  • ถุงลมบริเวณหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่

ฟีเจอร์เพิ่มเติม

  • Post-Collision Braking: ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการชน เพื่อลดความเสี่ยงการชนซ้ำ
  • Tire Pressure Monitoring System (TPMS): ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง
  • SOS Post-Crash Alert System: ระบบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออัตโนมัติหลังอุบัติเหตุ

ระบบไฟและการมองเห็น

  • Auto High-Beam Headlamps: ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
  • LED Fog Lamps: ไฟตัดหมอก LED สำหรับการขับขี่ในสภาพอากาศเลวร้าย
  • Rain-Sensing Wipers: ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติเมื่อฝนตก

motortrend

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้