BM-21 “Grad” จรวดถล่มระลอกเดียว 40 ลูก ระยะ 20 กม. ของกัมพูชา

BM-21 “Grad” จรวดถล่มระลอกเดียว 40 ลูก ระยะ 20 กม. ของกัมพูชา
Spread the love
Advertisement Advertisement

 

BM-21 “Grad” จรวดถล่มระลอกเดียว 40 ลูก อาวุธรัสเซียในมือกัมพูชา กับปมความตึงเครียดชายแดนไทย ระยะยิง 20 กม.

กลางปี–ปลายปี 2025 ชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ชื่อของ BM-21 “Grad”—จรวดหลายลำกล้องขนาด 122 มม.—ถูกพูดถึงถี่ขึ้น ทั้งในรายงานข่าวเหตุปะทะปลาย ก.ค. 2025 และในคำให้สัมภาษณ์วันที่ 26 ก.ย. 2568 ที่ แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชา “เคลื่อน BM-21 จ่อชายแดน” พร้อมระบุเหตุ ระเบิดตกเนิน 498 ช่องบก อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยย้ำว่ากองทัพไทย “ยังทำงานไร้รอยต่อ” และเรื่องใหญ่ต้องเข้าสู่กลไกระดับ สมช. ก่อนตัดสินใจ, ขณะเดียวกันย้ำภาพลักษณ์ “ทหารไทยเป็นสุภาพบุรุษ” ไม่ทำตามกระแสอารมณ์ของสถานการณ์ร้อน ๆ นอกสนาม.

  • บางครั้งจะใช้ Type 83 (PHL-83) มีพื้นฐานจาก BM‑21 แต่ปรับปรุงให้เข้ากับอุตสาหกรรมจีนในยุคนั้น

BM-21 คืออะไร?

จุดกำเนิดและการใช้งาน

  • BM-21 เข้าประจำการในกองทัพโซเวียตตั้งแต่ปี 1963 ออกแบบเป็น MLRS (Multiple Launch Rocket System) ติดตั้งบนรถบรรทุก 6×6 พร้อม ท่อยิง 40 ท่อ ยิงจรวด 122 มม. ได้รวดเร็วเพื่อ ปูพื้นที่ มากกว่ายิงแม่นยำจุดเดียว จึงมีอิทธิพลทางจิตวิทยาสูงและสร้างความกดดันเชิงยุทธวิธีในเวลาอันสั้น.

ระยะยิง

  • รุ่นมาตรฐานราว 20 กม. และมีลูกจรวดรุ่นปรับปรุงที่ไปได้ 30–45 กม. ขณะที่แหล่งข้อมูลทางเทคนิคบางส่วนระบุ เพดานสุดถึง ~52 กม. สำหรับกระสุนระยะไกลรุ่นใหม่ (ขึ้นกับชนิดหัวรบและสภาพแวดล้อม)

ข้อจำกัดสำคัญ

  • ความแม่นยำ (CEP) ต่ำเมื่อเทียบปืนใหญ่/กระสุนชี้เป้า—จุดประสงค์คือ “จำนวนและความต่อเนื่องของไฟ” มากกว่า “ความแม่นยำจุดเดียว” จึงเสี่ยงผลกระทบต่อพลเรือนเมื่อใช้ใกล้ชุมชน

สรุป: BM-21 เหมาะกับ “การข่ม/ตรึง/ทำลายระบบ” ในพื้นที่กว้างช่วงสั้น ๆ แต่ถ้าพื้นที่เป็นเขตชุมชนความเสี่ยงด้านมนุษยธรรมจะพุ่งสูงทันที

กัมพูชามี BM-21 ได้อย่างไร?

กัมพูชาเริ่มได้รับ BM-21 หรือแบบลอกเลียนจากจีน (เช่น Type 83) ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อต่อสู้กับกลุ่มเขมรแดง หลังจากนั้นมีการเก็บรักษาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพกัมพูชาเคยจัดแสดงการยิงจริงต่อสาธารณชนเมื่อปี 2010 ที่จังหวัดกำปงชนัง

ข้อมูลจาก The Military Balance ปี 2025 ระบุว่า กัมพูชามี BM-21 หรือแบบจีนในคลังอย่างน้อย 8 หน่วยยิง ซึ่งเพียงพอสำหรับการโจมตีพื้นที่แนวหน้าในระดับยุทธวิธี

อานุภาพที่ไม่ควรมองข้าม

แม้จะเก่าแก่ แต่ BM-21 ยังคงเป็นอาวุธที่น่ากลัว เพราะสามารถ

  • ทำลายแนวป้องกันได้ภายในพริบตา

  • ทำให้พื้นที่เป้าหมายเป็น “ทะเลเพลิง” ด้วยหัวรบแรงสูง

  • โจมตีได้ไกลกว่า 20 กม. โดยไม่ต้องเข้าประชิดแนวหน้า

ข้อมูลทั่วไป (General Overview)

รายการ รายละเอียด
ชื่ออย่างเป็นทางการ BM-21 “Grad” (ภาษารัสเซีย: БМ-21 «Град»)
ประเภท ระบบจรวดหลายลำกล้อง (Multiple Launch Rocket System – MLRS)
ต้นกำเนิด สหภาพโซเวียต
เข้าประจำการครั้งแรก ปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506)
ประจำการในกัมพูชา ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 (ประมาณปี 2520–2530) โดยบางคันอาจเป็นแบบจีน (Type 83)

ระบบจรวด (Rocket System)

รายการ รายละเอียด
จำนวนท่อยิง 40 ท่อ (จัดเรียง 4 แถว แถวละ 10 ท่อ)
ขนาดจรวด 122 มม.
ความยาวจรวด 2.87 เมตร
น้ำหนักจรวด ~66 กิโลกรัม ต่อ 1 ลูก
ระยะยิง 5.0 – 20.4 กม. (รุ่นมาตรฐาน)
40 – 52 กม. (รุ่นจรวดยุคใหม่ / ระยะไกล)
ระยะเวลายิงเต็มชุด ประมาณ 20 วินาที (ยิงครบ 40 ท่อ)
เวลาในการโหลดกระสุนใหม่ ประมาณ 10 นาที (โดยกำลังพลพร้อม)
ประเภทหัวรบ หัวระเบิดแรงสูง (HE), สะเก็ดระเบิด (FRAG), ปรับเปลี่ยนเป็นหัวรบเพลิง หรือปล่อยทุ่นระเบิดก็ได้

แพลตฟอร์มฐานยิง (Launch Vehicle Platform)

รายการ รายละเอียด
รถฐานยิงมาตรฐาน Ural-375D 6×6 (รุ่นเก่า) หรือ Ural-4320 (รุ่นใหม่กว่า)
เครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 180 แรงม้า (Ural-375D) หรือดีเซล 210 แรงม้า (Ural-4320)
ความเร็วสูงสุด ประมาณ 75–80 กม./ชม.
พิสัยการวิ่ง ~405 กม.
ระบบขับเคลื่อน 6 ล้อขับเคลื่อน (6×6) สามารถลุยทางวิบากได้ดี

ลูกเรือ (Crew)

รายการ รายละเอียด
จำนวนลูกเรือ 3–6 นาย ต่อ 1 หน่วยยิง
ระบบควบคุมการยิง ควบคุมจากในรถ หรือแยกควบคุมจากภายนอกด้วยสาย/วิทยุ

จุดเด่น (Key Features)

  • ยิงถล่มเป้าหมายเป็นวงกว้างภายในเวลาไม่กี่วินาที
  • เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ยิงเสร็จแล้วสามารถ “ยิงแล้วเผ่น” (Shoot and Scoot)
  • เหมาะสำหรับทำลายแนวป้องกัน, ค่ายทหาร, ยุทโธปกรณ์ตั้งอยู่กับที่
  • ราคาถูกเมื่อเทียบกับระบบปืนใหญ่อัตตาจรหรือขีปนาวุธนำวิถี

ขอบเขตการทำลาย

หากยิงจรวดทั้ง 40 ลูกเต็มชุด

Advertisement Advertisement
  • จะสามารถ ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 0.8 – 1 ตารางกิโลเมตร ด้วยแรงระเบิดและสะเก็ด
  • ทำลายโครงสร้างเบา สิ่งปลูกสร้าง อาคารไม้ บ้านเรือนชาวบ้านได้อย่างราบคาบ
  • สร้าง ความเสียหายรุนแรงต่อรถยนต์ รถถังเบา รถบรรทุก และหน่วยทหารที่ไม่มีการฝังหลุมเพียงพอ
  • ส่งผลกระทบต่อ ขวัญและกำลังใจของประชาชนและทหาร เนื่องจากเกิดเสียงดังและควันขาวหนาทึบในวงกว้าง

เปรียบเทียบให้เห็นภาพ

หากยิง BM-21 เต็มชุด 40 ลูกลงบนพื้นที่เปิดโล่ง เช่น หมู่บ้านริมชายแดน

  • บ้านไม้ทั่วไป 1 หลัง อาจถูกทำลายได้ด้วยจรวดเพียง 1–2 ลูก

  • หากยิงเข้าจุดชุมนุม เช่น ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน หรือวัดในช่วงเวลาไม่คาดคิด ความเสียหายจะสูงมาก และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ทำไมจึงน่ากลัวในบริบท “ชายแดนไทย–กัมพูชา”?

  • พื้นที่ชายแดนเปิดโล่ง – ไม่มีแนวป้องกันถาวรแบบค่ายทหาร
  • หมู่บ้านอยู่ใกล้แนวเขตประเทศ – ระยะยิง 20 กม. ของ BM-21 สามารถครอบคลุมได้หลายอำเภอฝั่งไทย
  • ระบุเป้าหมายแม่นยำยาก – จรวด BM-21 ไม่ใช่ระบบนำวิถี จึง “กวาด” แบบสุ่ม ก่อผลกระทบต่อพลเรือนได้ง่าย

บทบาทของ BM-21 ในกัมพูชา

  • มี/ใช้จริงหรือไม่? แหล่งอ้างอิงมาตรฐานด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ระบุว่า กัมพูชาครอบครอง BM-21 และ RM-70 (122 มม.) และยังมีระบบ MLRS จีนตระกูล Type/PHL-81/90 ในคลังบางส่วน (ตัวเลขแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูล) สะท้อนความพร้อมของ “ไฟจรวด 122 มม.” ในระดับที่เห็นผลบนสนาม.

  • การเคลื่อนไหวใกล้ชายแดนและเหตุ 2025 ระหว่าง 27–28 ก.ค. 2025 มีรายงานเหตุปะทะหลายจุดตามแนวแดน (เช่น ช่องจอม–ช่องบก/ช่องบก–ช่องเม็ก/จงบก–จงบก ตามการสะกดของหลายสื่อ) ฝ่ายไทยรายงานการยิงอาวุธทางอ้อมจากฝั่งกัมพูชาและตอบโต้ตามระดับภัยคุกคาม และมีการประกาศมาตรการคุ้มครองพลเรือนในพื้นที่เสี่ยงโดยหน่วยงานรัฐไทย.
    ต่อมา 26 ก.ย. 2568 แม่ทัพภาค 2 ให้สัมภาษณ์ย้ำว่า มีการเคลื่อน BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา และรับทราบเหตุ ระเบิดตก “เนิน 498 ช่องบก” จริง (ยิงครั้งเดียว) อยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐาน—สะท้อนว่า “ภัยคุกคามด้วยจรวด 122 มม.” ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาในห้วงเปลี่ยนถ่ายตำแหน่งกองทัพ.

  • บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์ สำหรับกัมพูชา การนำ BM-21/122 มม. เข้าพื้นที่ใกล้แดนทำให้เกิด “พื้นที่กดดัน” ต่อแนวตั้งรับได้มาก (ครอบคลุม 20–40 กม.) แม้ไม่ยิงจริงก็เป็น “สัญญาณบอกเหตุ” ทางจิตวิทยา/การเมืองต่ออีกฝั่งได้ดี

ภูมิศาสตร์แนวชายแดนกับ “รัศมีไฟ” ของ BM-21

หากกำหนดจุดวางยิงด้านกัมพูชาใกล้แนวเส้นแบ่งเขตแดน รัศมี 20–40 กม. ของ BM-21 จะครอบคลุมหมู่บ้าน–ที่หมายทางทหาร–จุดคมนาคมจำนวนมากฝั่งไทยในพื้นที่ ศรีสะเกษ–สุรินทร์–อุบลราชธานี (ขึ้นกับพิกัดตั้งฐานจริงและชนิดกระสุน) นี่คือเหตุผลที่การ “เคลื่อนเข้าจ่อชายแดน” แม้ยังไม่ยิง ก็เพียงพอให้ไทยต้องยกระดับการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อม.

ไทม์ไลน์ย่อ: เหตุปะทะชายแดน 2025 และพัฒนาการล่าสุด

  • 27–28 ก.ค. 2025 : หน่วยงานรัฐไทยเผยแพร่ “Incident Report” ภาษาอังกฤษ—ระบุจุดปะทะ, การยิงทางอ้อมจากฝั่งกัมพูชา และการตอบโต้เชิงสัดส่วนของฝ่ายไทยในพื้นที่ Chong Bok/Chong Chom พร้อมแจ้งเตือนประชาชน.

  • ปลาย ก.ค.–ส.ค. 2025 : สื่อวิเคราะห์ต่างประเทศชี้ว่า “ไฟปืนใหญ่และอำนาจทางอากาศ” เป็นปัจจัยชี้ขาดในห้วงสั้น ๆ ขณะจรวด 122 มม. เป็นเครื่องมือสร้างความกดดันต่อพื้นที่ตั้งรับ.

  • 26 ก.ย. 2568 : แม่ทัพภาค 2 ให้สัมภาษณ์ย้ำ เคลื่อน BM-21 และรับทราบ ระเบิดตกเนิน 498 ช่องบก (ยิงครั้งเดียว) อยู่ระหว่างตรวจสอบ—พร้อมย้ำ “ไร้รอยต่อ” ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผบ.-มทภ., เรื่องใหญ่ผ่าน สมช., ไทย “เป็นสุภาพบุรุษ” และไม่ทำตามกระแส.

เทียบกำลัง “ไฟจรวด–ปืนใหญ่” ไทย vs กัมพูชา (โฟกัสเฉพาะที่เกี่ยวข้อง)

หมายเหตุ: ตัวเลขอาจแตกต่างตามแหล่งข้อมูลและช่วงเวลา จึงสรุปเชิง “ขีดความสามารถ” มากกว่าจำนวนตายตัว

ฝ่ายกัมพูชา (เลือกเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้อง)

  • 122 มม. MLRS : BM-21 / RM-70 / Type-81 (จีน) — ใช้กระสุน 122 มม. ร่วมกันได้, ระยะใช้งานทั่วไป 20–40 กม. (รุ่นปรับปรุงมากสุด ~50 กม.).

  • หมายเหตุด้านจำนวน : มีรายงานอ้างอิงหลายชุด (เช่น RM-70 หลักหลายสิบถึงร้อยกว่า, Type/PHL-81 & 90B) แต่จำนวนที่แน่ชัดแตกต่างกันตามแหล่ง—ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง.

ฝ่ายไทย (ส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรง)

  • DTI-1 / DTI-1G (300–302 มม.) : พัฒนาร่วมไทย–จีน, ระยะยิงที่ยืนยันในข่าวอุตสาหกรรม/กลาโหมไทย 60–150 กม. (บางแหล่งระบุสุดถึง ~180 กม. ขึ้นกับรุ่นกระสุนและการทดสอบ).

  • ปืนใหญ่ 155 มม. (เช่น M198 / FH-70 ฯลฯ) : ระยะยิงมาตรฐาน ~22–24 กม. (ฐาน) และ ~30 กม.+ (กระสุนพิเศษ) ให้ความแม่นยำเหนือกว่า MLRS แบบไม่ชี้เป้า

  • สรุปความได้เปรียบเชิงระบบ : ไทยมี “ไฟจรวดระยะกลาง–ไกล” แบบชี้เป้า (DTI-1G) และ “ไฟปืนใหญ่ 155 มม.” ที่แม่นยำกว่า รวมถึง การสนับสนุนทางอากาศ และระบบบังคับบัญชาที่ทันสมัยกว่า ช่วยให้ การสู้ระยะยืดเยื้อ/ต่อเนื่อง ไทยถือไพ่เหนือกว่า ขณะที่กัมพูชามี “ไฟ 122 มม. ปริมาณมาก–พร้อมใช้–ราคาถูก” เหมาะกับ การกดดันรวดเร็วใกล้แนวแดน มากกว่า

ภาพรวมยุทธศาสตร์: “ไฟจรวด 122 มม.” กับการจัดการความเสี่ยง

  • การข่ม–ก่อกวนเชิงจิตวิทยา : แค่ “เคลื่อน BM-21 ใกล้แดน” ก็ทำให้อีกฝั่งต้องกระจายกำลัง/ตั้งรับในวงกว้าง (รัศมี 20–40 กม.)

  • ข้อจำกัดด้านความแม่นยำ : ในพื้นที่ชุมชน ความเสี่ยงต่อพลเรือนสูง—แรงกดดันทางการทูต/ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศก็สูงตาม

  • มาตรการตอบโต้ของไทย : ใช้ “การเฝ้าตรวจ–เตรียมพร้อม–ไฟแม่นยำ” เป็นหลัก และให้การตัดสินใจระดับยุทธศาสตร์ผ่าน สมช. เพื่อไม่ให้สถานการณ์ “บานปลายจากแรงปะทะเฉียบพลัน” ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีที่แม่ทัพภาค 2 สื่อสารต่อสาธารณะ.

แหล่งอ้างอิงหลักที่ใช้ในบทความ (คัดสั้น)

  • สเปก/ประวัติ BM-21: Wikipedia, US Army TRADOC WEG, สรุปเชิงเทคนิคเชิงพาณิชย์. วิกิพีเดีย+2odin.tradoc.army.mil+2
  • เหตุปะทะ 27–28 ก.ค. 2025 และการสื่อสารภาครัฐ: PRD / NBT World. รัฐบาลไทย+1
  • คำยืนยัน 26 ก.ย. 2568: ไทยรัฐ, ช่อง 7, ผู้จัดการออนไลน์. www.thairath.co.th+2www.ch7.com+2
  • ขีดความสามารถจรวดไทย (DTI-1/1G): Shephard Media, Defence-Blog, Bangkok Post, Oryx. Oryx+3shephardmedia.com+3Defence Blog+3
  • สถานะ MLRS ของกัมพูชา: Cluster Munition Monitor, Wikipedia อุปกรณ์กองทัพบกกัมพูชา (ตัวเลขเพื่อภาพรวม, อาจคลาดเคลื่อนตามแหล่ง). The Monitor+1
Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้