ถนนยุบกลางกรุง ทำไมกรุงเทพฯ ถึงถล่มง่ายกว่าที่คิด?

ถนนยุบกลางกรุง ทำไมกรุงเทพฯ ถึงถล่มง่ายกว่าที่คิด?
กรุงเทพฯ เมืองที่เราเดินทางกันทุกวัน เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า รถราวิ่งแน่นขนัด และโครงการก่อสร้างใหม่แทบทุกหัวมุมถนน ใครจะคิดว่าพื้นที่ที่ดูมั่นคงแข็งแรงนี้ แท้จริงแล้วตั้งอยู่บนชั้นดินเหนียวอ่อนที่เปราะบาง เมื่อมี “ตัวกระตุ้น” เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างใต้ดิน ท่อประปาแตก หรือฝนตกหนัก ถนนที่เราใช้เดินและขับรถอยู่ทุกวัน อาจยุบหายไปต่อหน้าต่อตาในพริบตาเดียว
เหตุการณ์ถนนทรุดตัวครั้งล่าสุด ได้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ใต้ฝ่าเท้าของคนกรุงไม่เคยนิ่งเหมือนที่เราคิด โครงสร้างดินเหนียวที่รองรับเมืองนี้มาตลอดหลายสิบปี พร้อมจะเปลี่ยนสภาพจากพื้นแข็งแรง กลายเป็นโพรงอันตราย หากมีสิ่งใดไปกระตุ้นให้เสียสมดุล แล้วทุกอย่างก็พร้อมพังครืนลงมา
นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ให้สัมภาษณ์กับ มติชนออนไลน์ ว่า โครงสร้างทางธรณีวิทยาของกรุงเทพมหานคร เป็นดินเหนียว มีความหนา 20-30 เซนติเมตร โครงการเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาเรื่องดินถล่ม หากไม่มีสิ่งใดเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การขุดอุโมงค์เพื่อก่อสร้างรถไฟใต้ดิน ท่อน้ำประปาที่ฝังอยู่ใต้ดินแตก ทำให้ใต้ดินเป็นรูโพรง หรือการที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก จนมีการกัดเซาะโครงสร้างดินเหนียวให้เป็นโพรง เหล่านี้คือตัวกระตุ้นหลัก ทำให้เกิดดินถล่ม จากการตรวจสอบกับทางกทม.คือ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ในการทำให้เกิดดินถล่มในครั้งนี้ มาจาก การก่อร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อาจจะเกิดความผิดพลาดระหว่างขุดเจาะ ทำให้ท่อประปาแตก จนเกิดเป็นรูโพรง ทำให้ดินถล่ม
กรุงเทพฯ บนกองดินเหนียว
พื้นดินของกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็น ดินเหนียวอ่อน (Bangkok Soft Clay) หนาหลายสิบเมตร จุดเด่นคืออุ้มน้ำได้มากและเหนียว แต่ข้อเสียคือเมื่อเจอน้ำมากเกินไปจะเสียความแข็งแรง ดินที่เคยแน่นก็อาจ “ยวบ” ได้เหมือนโคลนเละ ๆ ใต้รองเท้า
ถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น โครงสร้างดินก็ยังคงอยู่ได้ แต่เมื่อมีการขุด เจาะ หรือมีน้ำไหลผ่าน โครงสร้างดินจะเสียสมดุล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา
ตัวกระตุ้น 3 อย่าง ที่ทำให้ดินกรุงเทพฯ พัง
-
การก่อสร้างอุโมงค์หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน การขุดเจาะลึก ๆ ถ้าควบคุมแรงดันดินไม่ดี อาจทำให้ดินเคลื่อนตัว หรือไปกระแทกท่อประปาเก่าที่ฝังอยู่
-
ท่อประปาแตก น้ำแรงดันสูงซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง พาเอาดินรอบ ๆ ออกไปเรื่อย ๆ กลายเป็นโพรงเหมือน “ถ้ำใต้ดิน” ที่ไม่มีใครเห็น
-
ฝนตกหนัก ดินเหนียวอุ้มน้ำจนเกินกำลังรับ น้ำไหลแรงกัดเซาะตามรอยต่อทางเท้า–บ่อพักท่อระบายน้ำ เมื่อเจอโครงสร้างที่ถมไม่แน่น ก็ถูกชะออกไปง่าย
จากรูรั่วเล็ก ๆ สู่ถนนยุบทั้งแถบ
นึกภาพตามนะครับ:
-
ตอนแรก ท่อประปามีรอยรั่วเล็กน้อย น้ำซึมออกมาทีละนิด
-
ดินทรายรอบ ๆ ท่อถูกพัดออกไปทีละกำมือ กลายเป็นโพรงเท่ากล่องรองเท้า
-
วันหนึ่ง รถบรรทุกหนักขับผ่าน → เพดานโพรงรับน้ำหนักไม่ไหว → พรึบ! ถนนยุบทั้งแถบ
นี่คือกลไกการเกิดถนนยุบ (sinkhole) ที่มักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้านอกจากผิวถนนที่เริ่มแอ่นเล็กน้อย
ทำไมกรณีล่าสุดโยงไปถึง “รถไฟฟ้าใต้ดิน”?
การตรวจสอบของ กทม. และกรมทรัพยากรธรณีชี้ว่า สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ
-
ระหว่างก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน มีความผิดพลาดในการขุด
-
ส่งผลให้ท่อประปาใต้ดินแตก
-
น้ำไหลกัดเซาะจนเกิดโพรงขนาดใหญ่
-
พื้นถนนด้านบนยุบตัวลงมาในที่สุด
แล้วเราควรกลัวไหม?
คำตอบคือ ควรระวัง แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเมืองใหญ่ทั่วโลกที่มีอุโมงค์และระบบใต้ดินก็เจอปัญหาใกล้เคียงกัน เพียงแต่กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเหนียวอ่อน จึงเสี่ยงกว่าหลายเมือง
สิ่งสำคัญคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง
-
ตรวจสอบท่อและระบบสาธารณูปโภคสม่ำเสมอ
-
คุมงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน
-
รีบแก้ไขทันทีเมื่อพบรอยรั่วหรือความผิดปกติ
กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเมืองที่พื้นดินพร้อมจะถล่มลงมาเอง แต่เพราะโครงสร้างของเมืองตั้งอยู่บน ดินเหนียวอ่อน ทำให้มีความเปราะบางมากกว่าหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก หากมี “ตัวกระตุ้น” อย่างการขุดอุโมงค์ ท่อประปาแตก หรือฝนตกหนัก ก็สามารถเปลี่ยนจากพื้นถนนที่ดูแข็งแรงให้กลายเป็นโพรงลึกและหลุมยักษ์ในพริบตา
เหตุการณ์ถนนยุบครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็น สัญญาณเตือน ว่าเราต้องจริงจังกับการตรวจสอบสาธารณูปโภค การควบคุมงานก่อสร้าง และการจัดการน้ำในเมือง หากละเลยเพียงเล็กน้อย ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจใหญ่โตเกินกว่าที่คิด
สุดท้ายแล้ว เมืองหลวงที่เราอาศัยอยู่นี้ อาจไม่ได้อันตรายเพราะตึกสูงหรือรถติดเสมอไป แต่อันตรายที่สุดอาจอยู่ใต้ฝ่าเท้าที่เราเดินและขับรถอยู่ทุกวัน — พื้นดินที่พร้อมจะยุบลงมา หากเราไม่ใส่ใจดูแลมันอย่างจริงจัง