Leapmotor ครบรอบ 10 ปี เปิดตัว MPV เรือธง D99 ชู “LEAP 3.5” เร่งเกมเทคโนโลยี-ขยายตลาดโลก

Leapmotor ครบรอบ 10 ปี เปิดตัว MPV เรือธง D99 ชู “LEAP 3.5” เร่งเกมเทคโนโลยี-ขยายตลาดโลก
วันที่รายงาน: 28 ธันวาคม (ตามรายงานจากสื่อจีน) | สถานที่จัดงาน: หางโจว
Leapmotor (零跑汽车) จัดงานครบรอบ 10 ปี ที่เมืองหางโจว พร้อมสรุปเส้นทางการเติบโตจาก “แบรนด์ที่เคยเงียบ” ไปสู่กลุ่มผู้เล่นหัวแถวของตลาดรถพลังงานใหม่ ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว MPV รุ่นเรือธง D99 ครั้งแรก และการสื่อสารทิศทางเทคโนโลยีผ่านสถาปัตยกรรม LEAP 3.5 โดยย้ำโจทย์เดิมของแบรนด์: ทำรถให้ดี ฉลาด และราคาเข้าถึงได้
สรุปภาพรวม 10 ปีของ Leapmotor จาก “ผู้เล่นข้ามสาย” สู่ New Energy แถวหน้า
รายงานระบุว่า Leapmotor ก่อตั้งในปี 2015 จากการลงทุนของบริษัทที่มีฐานธุรกิจด้านระบบรักษาความปลอดภัยและวิดีโอเฝ้าระวัง โดย จู เจียงหมิง (朱江明) เป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ซึ่งสะท้อนยุค “ข้ามสายเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์” ของจีนที่มีผู้เล่นจำนวนมากเข้ามาแข่งขัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปและตลาดคัดกรองหนัก Leapmotor กลับสามารถยืนระยะและพัฒนาไปสู่แบรนด์กลุ่มหัวตารางได้
ในงาน ประธานบริษัทได้ทบทวน “แผน 3 ระยะ” ที่เคยวางไว้ ได้แก่
(1) 2015–2018 พัฒนาเทคโนโลยีและสร้างการรับรู้แบรนด์,
(2) 2019–2024 ทยอยปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อดันสู่แบรนด์ชั้นนำในประเทศ,
(3) มุ่งสู่ปี 2030 เพื่อเป็นผู้เล่น “กระแสหลัก” ในตลาดรถพลังงานใหม่ระดับโลก ซึ่งตามไทม์ไลน์ Leapmotor มองว่าตน “ผ่านระยะที่สองแล้ว” และเริ่มเข้าสู่ช่วงเร่งเกมระดับสากล
กลยุทธ์ที่ทำให้ Leapmotor โตเร็ว “ทำเองทั้งระบบ” + “ดีแต่ไม่แพง” + “ออกไปต่างประเทศ”
จุดเด่นที่ Leapmotor เน้นย้ำมาตลอด คือแนวทาง พัฒนาเทคโนโลยีเองแบบครบวงจร (Full-stack In-house) โดยรายงานระบุสัดส่วนการพัฒนา/ผลิตเองคิดเป็นประมาณ 65% ของต้นทุนทั้งคัน แนวทางนี้ส่งผลโดยตรงต่อ 2 เรื่องสำคัญในเชิงธุรกิจ: การคุมต้นทุน และ ความเร็วในการปรับแพลตฟอร์ม เมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่พึ่งซัพพลายเออร์เป็นหลัก
ในเชิงสินค้า Leapmotor วางตำแหน่งเป็นแบรนด์ที่ “ให้ของครบ” แต่ยังรักษาราคาให้แข่งขันได้ จึงเห็นได้จากการชูเทคโนโลยีระดับแพลตฟอร์ม (เช่น โครงสร้างไฟฟ้าแรงดันสูง / ระบบช่วยขับ / ห้องโดยสารอัจฉริยะ) พร้อมกับพยายามทำราคาตลาดให้ ต่ำกว่าหรือคุ้มค่ากว่า คู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน
อีกแกนสำคัญคือ การขยายสู่ต่างประเทศ รายงานระบุว่า Leapmotor ได้ขยายไปแล้วกว่า 35 ตลาด และคาดว่ายอดส่งมอบต่างประเทศทั้งปีจะ เกิน 60,000 คัน ซึ่งเป็นการปูทางจาก “ขายรถออกนอกประเทศ” ไปสู่แนวคิดที่แบรนด์พูดชัดขึ้นว่าในอนาคตคือ “ออกไปผลิต” หรือสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศ เพื่อยกระดับความยั่งยืนของธุรกิจ (ต้นทุนโลจิสติกส์/ภาษี/การบริการหลังการขาย)
LEAP 1.0 ถึง LEAP 3.5 วิวัฒนาการแพลตฟอร์มที่ Leapmotor ใช้เป็นอาวุธหลัก
รายงานแบ่งพัฒนาการทางเทคโนโลยีของ Leapmotor เป็นหลายยุค โดยมี “LEAP” เป็นชื่อสถาปัตยกรรมหลัก ซึ่งสะท้อนแนวคิดการอัปเกรดแพลตฟอร์มเป็นช่วง ๆ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการรวมระบบ (Integration) และความฉลาดของรถ (Intelligence)
- LEAP 1.0 (ปี 2019): เน้นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบบูรณาการ และฟังก์ชันห้องโดยสาร (เช่น จดจำใบหน้า) รุ่นอ้างอิงในรายงานคือ S01 และ T03
- LEAP 2.0 (ปี 2021): อัปเกรดประสบการณ์ห้องโดยสารด้วยชิป 8155 และแนวคิด CTC (แบตเตอรี่รวมโครงสร้างพื้นรถ) รุ่นอ้างอิงคือ C11 และ C01
- LEAP 3.0 (ปี 2024): ขยับสู่ชิป 8295 และ CTC 2.0 แบบไร้โมดูล รุ่นอ้างอิงคือ C10 และ C16
- LEAP 3.5 (ปีล่าสุดตามรายงาน): เน้นการยกระดับด้าน Integration, ความฉลาดของรถ และการจูนช่วงล่าง โดยมีการกล่าวถึงความร่วมมือกับ Stellantis ในด้านการปรับจูนช่วงล่าง
หากมองในมุมตลาด “LEAP 3.5” ทำหน้าที่เป็นคำตอบต่อการแข่งขันยุคใหม่ที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับ ระบบช่วยขับ, ห้องโดยสารอัจฉริยะ, ระยะทางวิ่ง และ ความนุ่มนวล/ความนิ่งของช่วงล่าง มากขึ้น พร้อมกันนั้นแบรนด์ยังต้องรักษาความคุ้มค่าด้านราคา ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดในสงครามรถพลังงานใหม่ของจีน
เปิดตัว Leapmotor D99 MPV เรือธง ดีไซน์หรู-เทคโนโลยีจัดเต็ม
ไฮไลต์ของงานคือการเปิดตัว Leapmotor D99 ในฐานะ MPV รุ่นเรือธง (Flagship MPV) โดยรายงานระบุว่า D99 และ D19 วางตำแหน่งอยู่ในกลุ่มรถขนาดใหญ่ เน้นความพรีเมียมและประสบการณ์ที่หรูหราขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปิดตัวครั้งนี้ D99 เปิดเผยรายละเอียดหลัก ๆ เฉพาะ งานออกแบบภายนอก เท่านั้น ส่วนห้องโดยสารจะประกาศตามมาในภายหลัง
ดีไซน์ด้านหน้า ลายเซ็น “สามช่วง DRL + ไฟหน้าแยกชิ้น”
รายงานระบุว่า D99 ใช้แนวทางเดียวกับ D19 คือ ไฟ DRL แบบสามช่วง และ ไฟหน้าแบบแยกชิ้น กันชนหน้ามาพร้อม กระจังลมแบบแอคทีฟ (Active Grille) ช่วยจัดการอากาศพลศาสตร์และการระบายความร้อนตามสถานการณ์ใช้งาน เสา A ถูกออกแบบให้มีมุมลาดมากขึ้น พร้อมกระจกสามเหลี่ยม ช่วยสร้างความรู้สึก “ลู่ลม” ในรถตัวถังใหญ่
หลังคาติด LiDAR สัญญาณชัดว่ามุ่งไปทางระบบช่วยขับขั้นสูง
อีกจุดสำคัญคือการระบุว่า หลังคาติดตั้ง LiDAR ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มักสัมพันธ์กับการยกระดับระบบรับรู้สภาพแวดล้อม เพื่อรองรับชุดระบบช่วยขับที่ซับซ้อนขึ้น (ในเชิงอุตสาหกรรม LiDAR คือ “ตัวบอกทิศทาง” ว่ารถรุ่นนั้นให้ความสำคัญกับการรับรู้ระยะ/วัตถุในสภาพแสงต่าง ๆ)
ด้านข้าง ฐานล้อยาว + ประตูสไลด์ใหญ่ + รางซ่อน
ด้านข้างตัวรถถูกอธิบายว่า ช่วงหน้ายื่นสั้น แต่มี ฐานล้อและช่วงท้ายยาว ซึ่งเป็นสูตรสำคัญของ MPV เพื่อแลกพื้นที่ห้องโดยสารแถว 2–3 และพื้นที่เก็บสัมภาระ ประตูสไลด์ด้านหลังมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อความสะดวกในการขึ้น-ลง และใช้ รางสไลด์แบบซ่อน (Hidden track) เพื่อความเรียบร้อยของงานออกแบบ
ล้อเป็นขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ทรง “จานปิด” ตามรายงาน และจับคู่ ยาง Michelin แบบเน้นความเงียบ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดว่า D99 โฟกัสความสบายและความนิ่งของห้องโดยสารเป็นหลัก
ด้านท้าย “ไฟสื่อสาร” + ฝาท้ายใหญ่ใช้งานจริง
ด้านท้ายยังคงมี แผงไฟสื่อสาร (Interactive Light Panel) รองรับการแสดง “ภาษาของแสง” หลายรูปแบบ โครงท้ายออกแบบให้ค่อนข้างตั้งตรง เพื่อคุมพื้นที่ใช้งานจริงของผู้โดยสารแถวสามและพื้นที่เก็บของ ฝาท้ายมีขนาดใหญ่ช่วยให้ขนสัมภาระได้สะดวก และมีการระบุว่ามีกล้องทั้งบริเวณสปอยเลอร์และจุดป้ายทะเบียน
ระบบขับเคลื่อน D99 EREV 800V และ EV 1000V พร้อมช่วงล่างถุงลม
แม้ยังไม่เปิดรายละเอียดเชิงตัวเลข แต่รายงานยืนยันแนวทางระบบขับเคลื่อนสำคัญของ D99 ว่า “เดินคู่” กับ D19 โดยจะมีทั้ง ระบบขยายระยะทาง (EREV) รองรับ 800V และ ไฟฟ้าล้วน (BEV) ระดับ 1000V พร้อมติดตั้ง ช่วงล่างถุงลมแบบสองห้อง (Dual-chamber closed air suspension)
ในเชิงการตลาด “แรงดันสูง” ไม่ได้เป็นแค่คำโฆษณา แต่สะท้อนความตั้งใจในการยกระดับประสิทธิภาพระบบไฟฟ้าของรถ โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งในตลาดจีนและตลาดส่งออกต่างเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานระดับพรีเมียมมากขึ้น (เช่น ความสบาย ช่วงล่าง และฟีลลิ่งการขับขี่) ไปพร้อมกับการชาร์จที่สะดวกขึ้นตามมาตรฐานตลาด
อ่านเกม Leapmotor ทำไม “MPV เรือธง” ถึงเป็นหมากสำคัญของทศวรรษใหม่
การเข้าสู่เซกเมนต์ MPV เรือธงคือการ “ขยับเพดานแบรนด์” อย่างชัดเจน เพราะ MPV ระดับสูงเป็นตลาดที่ผู้ซื้อคาดหวังมากกว่าคำว่า “นั่งได้หลายคน” แต่ต้องได้ทั้ง ความเงียบ, ความนุ่ม, เทคโนโลยีผู้ช่วย, คุณภาพวัสดุ และ ภาพลักษณ์ จึงเป็นสนามที่แบรนด์ต้องพิสูจน์ “ความสามารถปลายทาง” ของเทคโนโลยีที่ตนคุยไว้ทั้งหมด
ในอีกมุมหนึ่ง MPV ยังเป็นหมวดที่ช่วยให้แบรนด์สร้าง “กำไรต่อคัน” ได้ดีขึ้น หากวางสเปก/ราคา/ซัพพลายเชนได้เหมาะสม นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมในงานครบรอบ 10 ปี Leapmotor เลือกยก D99 เป็นตัวแทนของ “ก้าวใหม่” สู่ช่วงราคาที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันยังประกาศว่าจะเร่งปล่อยผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่ ๆ ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป
แนวโน้มปี 2026 A Series, D Series มาแน่ และ B/C เดินเกมเปลี่ยนรุ่นต่อเนื่อง
รายงานสรุปว่าในปี 2026 Leapmotor จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่จาก A Series และ D Series ทยอยเปิดตัว ขณะที่ B Series และ C Series จะยังคงเดินเกมเปลี่ยนรุ่นตามรอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตีความได้ว่าแบรนด์ต้องการรักษาความสดของไลน์อัปทั้ง “ตลาดหลัก” และ “ตลาดพรีเมียม” ไปพร้อมกัน เพื่อรองรับเป้าหมายยอดขายที่สูงขึ้นในช่วงทศวรรษใหม่
บทสรุป งานครบรอบ 10 ปีที่สะท้อนว่า Leapmotor “ยกระดับเกม” แล้วจริง
งานครบรอบ 10 ปีของ Leapmotor ไม่ได้เป็นเพียงการเล่าย้อนอดีต แต่เป็นการยืนยัน “สูตรสำเร็จ” ของแบรนด์ในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยีเอง การทำรถที่คุ้มค่า การเร่งขยายตลาดต่างประเทศ ไปจนถึงการยกระดับพอร์ตสินค้าสู่เซกเมนต์ที่พรีเมียมขึ้น โดย D99 คือสัญญาณชัดที่สุดว่าทศวรรษถัดไป Leapmotor ต้องการเป็นมากกว่า “ค่ายคุ้มราคา” แต่จะเดินหน้าเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลในตลาดรถพลังงานใหม่ระดับโลกตามเป้าหมายปี 2030
