LG เตรียมขายโรงงานแบตฯ ในสหรัฐฯ ให้ HONDA มูลค่ากว่า 88,880 ล้านบาท

LGES ขาย “สินทรัพย์โรงงานแบตฯ” ในโอไฮโอให้ ฮอนด้า มูลค่ากว่า 2.86 พันล้านดอลลาร์ เดินเกมเพิ่มความคล่องตัว รับดีมานด์ EV + ไฮบริด
ไฮไลต์ข่าว ขาย “อาคารและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง” มูลค่า 2.86 พันล้านดอลลาร์
รายงานอ้างอิงจากรอยเตอร์ระบุว่า LG Energy Solution (LGES) ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่จากเกาหลีใต้ เปิดเผยการทำธุรกรรมขาย อาคารโรงงานและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ให้กับ Honda Development and Manufacturing of America (บริษัทย่อยของฮอนด้าในสหรัฐฯ) โดยมูลค่าธุรกรรมอยู่ที่ 2.86 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จุดที่ต้องอ่านให้ชัดคือ LGES ระบุว่า ดีลนี้ “ไม่รวมที่ดินและอุปกรณ์/เครื่องจักร” และตั้งใจทำเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกิจการร่วมทุน (JV) มากกว่าจะเป็นการ “ถอนตัว” จากโครงการร่วมกัน
คำนวณเป็นเงินบาท 2.86 พันล้านดอลลาร์ = ประมาณ 88.88 พันล้านบาท
เพื่อให้ผู้อ่านไทยเห็นภาพชัด บทความนี้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่คุณกำหนด: 1 USD = 31.07 บาท
โดยคำนวณได้ดังนี้
| รายการ | มูลค่า (USD) | อัตราแลกเปลี่ยน | ประมาณการ (THB) |
|---|---|---|---|
| มูลค่าธุรกรรมขายสินทรัพย์โรงงาน | 2,860,000,000 | 31.07 บาท/ดอลลาร์ | 88,880,200,000 บาท |
| งบลงทุน JV ที่ประกาศปี 2022 | 4,400,000,000 | 31.07 บาท/ดอลลาร์ | 136,708,000,000 บาท |
| ค่าเผื่อด้อยค่าสินทรัพย์ที่ฟอร์ดจะบันทึก | 19,500,000,000 | 31.07 บาท/ดอลลาร์ | 605,865,000,000 บาท |
หมายเหตุ: การแปลงค่าเงินเป็น “ประมาณการ” เพื่อการสื่อสารเชิงข่าว อัตราแลกเปลี่ยนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาจริง
แต่ในบทความนี้ “ล็อก” ที่ 31.07 บาท/ดอลลาร์ตามโจทย์
ดีลนี้หมายความว่าอะไร ขายสินทรัพย์เพื่อ “ทำงานให้คล่องขึ้น” ไม่ใช่ยุบ JV
ประเด็นสำคัญของข่าวอยู่ที่ “เจตนา” ของการขายสินทรัพย์: LGES ระบุชัดว่ามุ่ง เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ของกิจการร่วมทุนโรงงานแบตเตอรี่ในโอไฮโอ ขณะที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า LGES ไม่ได้มีแผนยุบ JV หรือขายลดสัดส่วนการถือหุ้น
ในเชิงปฏิบัติ ดีลลักษณะนี้มักถูกใช้เพื่อ จัดโครงสร้างทรัพย์สิน (asset structure) ให้เหมาะกับการเดินงานจริง: ใครเป็นเจ้าของอาคาร, ใครรับภาระค่าเสื่อม, ใครถือสิทธิการใช้งาน, และกระแสเงินสดจะไหลอย่างไรให้ต้นทุนต่อหน่วยแข่งขันได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่สหรัฐฯ อยู่ในสภาวะ “กดต้นทุน-ลดความเสี่ยง-เพิ่มความยืดหยุ่น” พร้อมกัน
ทำไมฮอนด้าถึงอยากถือสินทรัพย์เอง เกมความยืดหยุ่น “EV + Hybrid”
โฆษกฮอนด้าให้เหตุผลกับรอยเตอร์ว่า การเข้าซื้อสินทรัพย์อาคารโรงงานครั้งนี้ช่วยให้ฮอนด้า ลงทุนระยะยาวด้านแบตเตอรี่ ได้ต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ ยืดหยุ่นต่อ “ความต้องการแบตเตอรี่หลากหลายรูปแบบ” ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่รถ BEV (ไฟฟ้าล้วน) แต่รวมถึง รถไฮบริด ด้วย
ถ้าอ่านระหว่างบรรทัด นี่สะท้อน “ความจริงของตลาด” ในหลายประเทศ: ดีมานด์ BEV ไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรงเสมอไป ขณะที่ไฮบริดกลับเป็น “คำตอบทางธุรกิจ” ที่ช่วยคุมต้นทุนและความเสี่ยงได้ดีในช่วงเปลี่ยนผ่าน การถือสินทรัพย์เองจึงเท่ากับการมีอำนาจตัดสินใจที่เร็วขึ้นในเรื่องกำลังการผลิตและการจัดสรรแบตเตอรี่ให้พอร์ตสินค้า
ไทม์ไลน์ จากประกาศลงทุนปี 2022 สู่คาดเริ่มผลิตปีหน้า
ย้อนกลับไปในปี 2022 ฮอนด้าและ LGES เคยประกาศแผนร่วมลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในโอไฮโอ มูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นราว 136,710 ล้านบาท ตามเรต 31.07) และตามแหล่งข่าว โรงงานดังกล่าวคาดว่าจะ เริ่มเดินการผลิตในปีหน้า
ดังนั้น ดีลขาย “อาคารและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง” ในช่วงก่อนเริ่มผลิตจริง จึงมีนัยสำคัญเชิงบริหาร: เป็นการจัดบ้านให้เรียบร้อยก่อนเครื่องจักรเดินเต็มกำลัง และก่อนเริ่มส่งมอบแบตเตอรี่เข้าสายการผลิตรถจริง
บริบทใหญ่ ผู้ผลิตแบตฯ เกาหลี “ปรับพอร์ต” หลังสัญญา EV ผันผวน
ข่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ซัพพลายเชนแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ มีแรงสั่นสะเทือนต่อเนื่อง: หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเปิดเผยดีล ฮอนด้า- LGES รอยเตอร์รายงานว่า LGES เพิ่งประกาศว่า ฟอร์ดยุติข้อตกลงจัดหาแบตเตอรี่ EV มูลค่าประมาณ 9.6 ล้านล้านวอน ขณะเดียวกัน ฟอร์ดจะบันทึก ค่าเผื่อด้อยค่าสินทรัพย์ 19.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 605.87 พันล้านบาท และเตรียม ตัดบางโครงการรถ EV
อีกด้านหนึ่ง ผู้ผลิตแบตฯ เกาหลีรายอื่นอย่าง SK On ก็มีรายงานว่าได้ยุติโครงการร่วมทุนกับฟอร์ดในสหรัฐฯ และในภาพรวม บริษัทเกาหลีหลายแห่งเริ่ม ปรับไลน์ผลิตไปสู่แบตเตอรี่ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อรองรับความต้องการจาก ดาต้าเซ็นเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน
เมื่อวางดีล LGES–Honda ลงในบริบทนี้ จะเห็นว่า “ความยืดหยุ่น” คือคีย์เวิร์ดหลัก ผู้เล่นทุกฝ่ายพยายามทำให้สินทรัพย์ โรงงาน และกำลังการผลิต พร้อมสลับโหมดได้รวดเร็วที่สุด ระหว่างแบตฯ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า, ไฮบริด และงานกักเก็บพลังงาน
อ่านผลกระทบเชิงอุตสาหกรรม 3 ประเด็นที่ตลาดจับตา
- โครงสร้างต้นทุนของโรงงานในสหรัฐฯ
การจัดโครงสร้างสินทรัพย์ใหม่ก่อนเริ่มผลิตจริง อาจช่วยลดแรงกดดันด้านค่าเสื่อม/ค่าใช้จ่ายคงที่
ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยแข่งขันได้ขึ้นในเกมที่ “ราคาแบตฯ” เป็นตัวแปรหลัก - ยุทธศาสตร์แบตเตอรี่ของฮอนด้า: ไม่ยึดติด BEV อย่างเดียว
คำพูด “รองรับทั้ง EV และไฮบริด” สะท้อนการวางพอร์ตที่บาลานซ์มากขึ้น—เป็นการลดความเสี่ยงต่อความผันผวนของยอดขาย BEV - ทิศทางอุตสาหกรรม: ESS โตตามดาต้าเซ็นเตอร์
หากคำสั่งซื้อแบตฯ รถ EV สะดุด ผู้ผลิตจะมองหาโหลดงานทางเลือก และ ESS เป็นหนึ่งในตลาดที่ขยายตัวจาก AI/Cloud
FAQ: คำถามที่คนอ่านน่าถาม
1) LGES ขาย “โรงงานทั้งก้อน” ให้ฮอนด้าหรือไม่?
จากข้อมูลข่าว ดีลนี้เป็นการขาย อาคารโรงงานและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ให้บริษัทย่อยฮอนด้าในสหรัฐฯ และ ไม่รวมที่ดินและเครื่องจักร จึงไม่ใช่การ “ขายกิจการทั้งหมด” แบบถอนตัว
2) LGES ถอนหุ้นจาก JV หรือยุบ JV หรือเปล่า?
แหล่งข่าวระบุว่า LGES ไม่มีแผนยุบกิจการร่วมทุนหรือขายลดสัดส่วนการถือหุ้น การขายสินทรัพย์มีเป้าหมายเพื่อให้การดำเนินงานของโรงงาน “มีประสิทธิภาพขึ้น”
3) ดีล 2.86 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทเท่าไหร่?
ที่อัตรา 1 ดอลลาร์ = 31.07 บาท จะเท่ากับประมาณ 88.88 พันล้านบาท
4) โรงงานนี้จะเริ่มผลิตเมื่อไหร่?
ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว โรงงานคาดว่าจะ เริ่มผลิตในปีหน้า
5) ทำไมข่าวนี้เชื่อมโยงกับฟอร์ดและตลาดแบตฯ สหรัฐฯ?
เพราะก่อนหน้านี้ LGES เพิ่งประกาศว่า ฟอร์ดยุติข้อตกลงจัดหาแบตเตอรี่ EV และฟอร์ดจะบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์พร้อมตัดบางโครงการ EV ซึ่งสะท้อนความผันผวนของดีมานด์ ทำให้ผู้ผลิตแบตฯ และค่ายรถต้อง “ปรับโครงสร้าง” และ “เพิ่มความยืดหยุ่น” มากขึ้น
สรุป ดีลนี้คือ “จัดโครงสร้างก่อนเริ่มผลิต” เพื่อเดินเกมระยะยาว
หากสรุปแบบอ่านง่าย ดีล 2.86 พันล้านดอลลาร์ 88,880 ล้านบาท ระหว่าง LGES และฮอนด้า ไม่ได้ถูกวางภาพเป็นการถอนตัวจากโครงการ แต่เป็นการ ปรับโครงสร้างสินทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินงาน JV ขณะที่ฮอนด้าได้ประโยชน์ด้าน ความยืดหยุ่นในการวางแผนแบตเตอรี่ ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าล้วนและรถไฮบริด ในช่วงที่ตลาดและซัพพลายเชนแบตเตอรี่สหรัฐฯ ยังมีความผันผวนสูง
