เบนซิน Hybrid พลัง M20A-FXS 2.0 ของ TOYOTA ความเป็นไปได้ในกระบะไหม ?

ถ้า Toyota ทำ “กระบะ M20A-FXS 2.0 Hybrid” จริง — โลกของกระบะอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในยุคที่ราคาน้ำมันขึ้นทุกปี ขณะที่ภาครัฐทั่วโลกเร่งลดการปล่อย CO₂ รถกระบะที่ “กินน้ำมัน” หนัก ๆ กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และ Toyota ซึ่งเป็นผู้นำด้านระบบ Hybrid ของโลก — ก็เหมือนจะมีคำตอบอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว นั่นคือเครื่องยนต์ M20A-FXS ขนาด 2.0 ลิตร Dynamic Force Hybrid หัวใจเดียวกับที่อยู่ใน Corolla Cross, C-HR , prius และ จำหน่ายในคือ INNOVA HYBRID
แต่ถ้าวันหนึ่ง Toyota ตัดสินใจเอาเครื่องนี้มาลง “กระบะจริง ๆ” ไม่ว่าจะเป็น Hilux Champ Hybrid, IMV 0 Hybrid หรือแม้แต่ Revo รุ่นใหม่ เรากำลังพูดถึง “ยุคใหม่ของกระบะ” ที่ทั้งเงียบ ประหยัด และยังคงบึกบึนได้อยู่
เครื่อง M20A-FXS — จากหัวใจรถเก๋งสู่หัวใจใหม่ของกระบะ
เครื่องยนต์ Dynamic Force 2.0 ลิตร (M20A-FKS / M20A-FXS สำหรับ Hybrid) เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียงแบบฉีดตรงรุ่นใหม่ ที่พัฒนาโดย Toyota ภายใต้แนวคิด “High-speed Combustion with Variable Control System” หรือ “การเผาไหม้ความเร็วสูง พร้อมระบบควบคุมแบบแปรผัน”
จุดเด่นคือการเพิ่ม ประสิทธิภาพความร้อน (Thermal Efficiency) ให้อยู่ในระดับ “สูงสุดของโลก” สำหรับเครื่องยนต์เบนซินในเวลานั้น
-
รุ่นปกติ (Gasoline): ประสิทธิภาพความร้อน 40%
-
รุ่นไฮบริด (Hybrid): ประสิทธิภาพความร้อน 41%
(ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2018 – Toyota Motor Corporation)
หยิบยกจาก INNOVA คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร (รหัส “M20A-FXS”) ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) กำลังรวม (รวมเครื่อง + มอเตอร์): ประมาณ 186 PS (แรงม้า) แรงบิดรวม: ประมาณ 206 นิวตัน·เมตร (Nm) แต่พอรวมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบ THS-II จะได้แรงบิดรวมถึง 300–320 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลัง: เกียร์ e-CVT (electronic Continuously Variable Transmission)
ฟังดูแล้ว แรงบิดเท่ากับเครื่องดีเซล 2.4 เลยครับ! และที่สำคัญคือแรงบิดไฟฟ้ามา “ทันที” ตั้งแต่เหยียบคันเร่ง นั่นหมายความว่า ถ้า Toyota จูนระบบ Hybrid ให้เหมาะกับงานบรรทุกเบา กระบะรุ่นนี้จะออกตัวแรงกว่า Revo ดีเซลด้วยซ้ำ แต่เสียงเบาและนุ่มกว่าเยอะ
เทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
เครื่องยนต์ใหม่นี้เน้น “ลดการสูญเสียพลังงาน” จากหลายส่วน เช่น ระบบไอเสีย ระบบหล่อเย็น และแรงเสียดทานจากชิ้นส่วนกลไก โดยยังเพิ่มแรงบิดในทุกย่านรอบ พร้อมรองรับมาตรฐานมลพิษในอนาคต
หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีมีดังนี้
ด้านสมรรถนะ / ความประหยัดเชื้อเพลิง
- ระบบเผาไหม้ความเร็วสูง (High-speed combustion)
- แบบ Long Stroke (อัตราส่วน Stroke/Bore ≈ 1.2) – เพิ่มแรงบิดรอบต่ำ
- ปรับ องศาระหว่างวาล์วไอดีและไอเสียให้กว้างขึ้น
- พอร์ตไอดีแบบประสิทธิภาพสูง (High-efficiency intake port) ด้วยเทคโนโลยี Laser-cladded valve seat
- อัตราส่วนกำลังอัดสูง: 13:1 (เบนซิน) และ 14:1 (Hybrid)
- คอยล์จุดระเบิดพลังงานสูง (High-energy ignition coil)
- ระบบฉีดเชื้อเพลิง D-4S แบบใหม่ พร้อมหัวฉีดหลายรู (Multi-hole injector)
- ระบบระบายความร้อนแปรผัน (Variable Cooling System)
- ปั๊มน้ำไฟฟ้า (Motor-driven water pump)
- เทอร์โมสตัทแบบทำความร้อน (Heated Thermostat)
- ปั๊มน้ำมันเครื่องแบบปรับปริมาตรได้ (Variable-capacity oil pump)
- น้ำมันเครื่องความหนืดต่ำ
- Water jacket spacer – ช่วยควบคุมอุณหภูมิรอบกระบอกสูบ
- ลูกสูบแบบ Laser Pit Skirt (ครั้งแรกของโลก)
- พื้นผิวขัดเรียบแบบกระจก ลดแรงเสียดทาน
- ลวดลาย Crosshatch จากเลเซอร์ เพิ่มความทนรอยขีดข่วน
ด้านการตอบสนอง
- ระบบวาล์วแปรผันไฟฟ้า VVT-iE
- เพลาลูกเบี้ยวแบบเว้าเล็ก (Small-concave camshaft)
- HLA ขนาดกะทัดรัด (Hydraulic Lash Adjuster)
- ก้านสูบแข็งแรงสูง (High-strength connecting rod)
- ระบบควบคุมการไหลของอากาศไอดีตอบสนองเร็ว
ด้านมลพิษต่ำ
- ระบบควบคุมการฉีดเชื้อเพลิงแบบหลายจังหวะ (Multi-injection)
- ฝาสูบพร้อม EGR Cooler ในตัว
- แคททาไลติกใหม่ (New catalyst)
- ปรับรูปแบบท่อร่วมไอเสียใหม่
- ระบบควบคุมหัวฉีดน้ำมันหล่อลื่นลูกสูบ (Piston oil jet control)
สเปคเครื่องยนต์
รายการ | เครื่องยนต์เบนซิน | เครื่องยนต์ไฮบริด |
---|---|---|
ความจุ (cc) | 1,986 | 1,986 |
กระบอก x ช่วงชัก (มม.) | 80.5 × 97.6 | 80.5 × 97.6 |
อัตราส่วนกำลังอัด | 13.0 | 14.0 |
ระบบฉีดน้ำมัน | D-4S | D-4S |
กำลังสูงสุด | 126 kW @ 6,600 rpm | 107 kW @ 6,000 rpm |
แรงบิดสูงสุด | 205 N·m @ 4,800 rpm | 180 N·m @ 4,400 rpm |
มาตรฐานไอเสีย | ULEV50 | ULEV50 |
รายละเอียดนวัตกรรมใหม่
ลูกสูบแบบ Laser Pit Skirt (ครั้งแรกของโลก)
- ผิวสัมผัสถูกขัดเรียบระดับกระจก ลดแรงเสียดทานขณะลูกสูบเคลื่อน
- ร่องไขว้ขนาดเล็กที่สร้างด้วยเลเซอร์ เพิ่มความทนต่อการขูดขีด (Scuff resistance)
ฝาสูบ (Cylinder Head)
-
ใช้เทคโนโลยี Laser Clad Valve Seat บริเวณวาล์วไอดี เพื่อสร้าง กระแสไอดีแบบหมุนวนแรง (Tumble Flow) ซึ่งช่วยทั้งเรื่องการประหยัดน้ำมันและเพิ่มประสิทธิภาพกำลังขาออก
สรุปจุดเด่นหลัก
- เพิ่มประสิทธิภาพความร้อนสูงสุดระดับโลก (40–41%)
- เผาไหม้เร็ว แรงบิดดีในทุกช่วงรอบ
- มลพิษต่ำ รองรับมาตรฐานอนาคต
- ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Laser Clad / Motor-driven Pump / Variable Cooling
- พัฒนาเพื่อรองรับทั้งรถเบนซินและรถ Hybrid
ปัญหาทางเทคนิค — และทางออกแบบ Toyota
แน่นอนครับ เครื่อง M20A-FXS เดิมใช้ในรถขับหน้า (FWD) ดังนั้นจะเอามาใส่กระบะที่เป็นขับหลัง (RWD) เลยก็ไม่ได้ง่าย ๆ แต่ Toyota มีทางออกอยู่แล้ว — เพราะใน RAV4 Hybrid AWD-i และ Crown Crossover ก็ใช้เครื่องแบบเดียวกัน แต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวที่เพลาหลัง
กลายเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า (Electric AWD) ถ้า Toyota ใช้แนวคิดนี้กับกระบะ เขาอาจทำ “Hilux Hybrid e-4WD” ที่
- เพลาหน้าใช้เครื่องยนต์ขับ
- เพลาหลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรงบิด
- ไม่ต้องมีเพลาท้ายยาว ๆ แบบเดิม → น้ำหนักลดลง
- แต่ได้แรงดึงขึ้นทางลาดสูงแบบ EV
ฟังดูเหมือนอนาคต แต่ในความจริง ระบบแบบนี้ Toyota ใช้จริงแล้วใน Japan / Australia
เรื่องต้นทุน — แพงขึ้น แต่คุ้มในระยะยาว
หลายคนคงถามว่า “แพงไหม?” คำตอบคือ “แพงกว่าดีเซลแน่ ๆ แต่ไม่ถึงขั้น EV” ต้นทุนเครื่อง Hybrid ประมาณ เพิ่มขึ้น 100,000–160,000 บาทต่อคัน
เพราะต้องมี
- มอเตอร์ไฟฟ้า
- e-CVT transmission
- แบตเตอรี่ Hybrid (NiMH หรือ Lithium ขนาด 1.6–2.0 kWh)
- กล่องควบคุมและอินเวอร์เตอร์
แต่ในทางกลับกัน Toyota สามารถลดภาษี CO₂ ได้ เพราะกระบะดีเซลปล่อย CO₂ ราว 180 –250 g/km ในขณะที่กระบะ Hybrid อาจอยู่เพียง 110–120 g/km ดังนั้น ถึงจะต้นทุนสูงขึ้น แต่ราคาขายจริงอาจเพิ่มแค่หลักแสน แลกกับความประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้นกว่า 30–40% จาก 13 กม./ลิตร → 20–22 กม./ลิตร
อัตราภาษีสำหรับรถ ไฮบริด (HEV) ในปี 2569 ในโครงสร้างภาษีใหม่ จะเป็นดังนี้
- ถ้าปล่อย CO₂ ไม่เกิน 100 กรัม/กม. → 6 %
- ปล่อย CO₂ ในช่วง 101-120 กรัม/กม. → 9 %
- ปล่อย CO₂ ในช่วง 121-150 กรัม/กม. → 14 %
- ปล่อย CO₂ ในช่วง 151-200 กรัม/กม. → 19 %
- ถ้าปล่อย CO₂ มากกว่า 200 กรัม/กม. → 24 %
เมื่อแรงบิดไฟฟ้ามาแทนเสียงดีเซล
สิ่งหนึ่งที่ Toyota จะต้องทำให้ผู้ใช้กระบะรู้สึกได้คือ
“แรงต้นต้องมา เสียงต้องน้อย ความทนต้องเหมือนเดิม”
Hybrid ไม่ต้องมีรอบคันเร่งสูง ๆ เหมือนดีเซล เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยดึงตอนต้นให้แรงแบบทันใจ ถ้าปรับจูนให้ดี — กระบะ Hybrid จะออกตัวแรงกว่า Revo 2.8 ด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องใช้รอบสูงหรือควันดำ และเพราะเครื่อง M20A-FXS ใช้ระบบ Atkinson Cycle ความร้อนต่ำลง อายุการใช้งานยาวขึ้น ระบบ Hybrid ของ Toyota ยังมีสถิติ ความทนกว่า 300,000 กม. โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยซ้ำ
มุมเศรษฐกิจและการตลาด — Toyota วางเกมไว้แล้ว
ในตลาดโลก Toyota ต้องปรับตัว เพราะหลายประเทศ เริ่มแบนเครื่องดีเซลในปี 2030–2035
ตลาดออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น และยุโรป ต้องการ “กระบะสะอาด แต่ยังลากของได้” ซึ่งตรงข้ามกับรถ EV ที่ยังชาร์จนานและราคาแพง
ดังนั้น Toyota จะมองว่า
“Hilux Hybrid คือสะพานเชื่อมจากยุคดีเซล → ยุคไฟฟ้าเต็มรูปแบบ”
และเมื่อมองตลาดอาเซียน เช่น ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ยังต้องการกระบะราคาย่อมเยา เครื่อง M20A-FXS Hybrid คือคำตอบที่สมดุลที่สุดระหว่าง
- ราคาซื้อไม่เกิน 1.2 ล้าน
- ไม่ต้องชาร์จไฟ
- ประหยัดน้ำมันเกิน 20 กม./ลิตร
บทสรุป — กระบะ M20A-FXS คือ “อนาคตที่ลงตัว”
ในวันที่โลกกำลังหันไปหา EV แต่โครงสร้างพื้นฐานในไทยยังไม่พร้อม 100% Toyota อาจเลือกเส้นทาง “ลูกผสม” ที่คุ้นมือและมั่นใจ นั่นคือ Hybrid ที่ไม่ต้องชาร์จไฟ แต่ขับเหมือนรถไฟฟ้าได้ครึ่งหนึ่ง
M20A-FXS Hybrid จึงไม่ใช่แค่เครื่องจากรถเก๋ง แต่คือจุดเริ่มต้นของ “ยุคกระบะพลังไฟฟ้าครึ่งตัว” ที่อาจปฏิวัติตลาดได้ไม่แพ้วันที่ Toyota เปิดตัว Hilux ครั้งแรกเมื่อ 50 ปีก่อน
M20A-FXS ปัจจุบันใช้ในรุ่นไหน
- Toyota Corolla Hybrid
- Lexus UX 250h / 260h (เวอร์ชันไฮบริด)
- TOYOTA Innova / Innova HyCross / Kijang Innova Zenix HYBRID 2.0
- Toyota Prius / Prius Prime 2.0 (เวอร์ชันล่าสุดบางตลาด)
- Toyota Corolla Cross Hybrid 2.0 (ในบางตลาด)