Omoda & Jaecoo ปฏิวัติวงการเครื่องยนต์สันดาปอีกครั้ง! “48% Thermal Efficiency”

Omoda & Jaecoo ปฏิวัติวงการเครื่องยนต์สันดาปอีกครั้ง! “48% Thermal Efficiency”
Spread the love
Advertisement Advertisement

Omoda & Jaecoo ปฏิวัติวงการเครื่องยนต์สันดาปอีกครั้ง! “48% Thermal Efficiency” — จุดเปลี่ยนแห่งอนาคตของเครื่องยนต์ไฮบริดยุคใหม่

เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่คำตอบเดียว

ในขณะที่โลกยานยนต์กำลังหมุนเข้าสู่ยุคแห่ง “ไฟฟ้าล้วน” (EV) ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต่างทุ่มทรัพยากรไปกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ในอีกฟากหนึ่งของโลก “Omoda & Jaecoo” ภายใต้เครือ Chery Group กลับเลือกเดินบนเส้นทางที่แตกต่าง — การยกระดับ เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ

และในงาน 2025 International User Summit พวกเขาก็สร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศเปิดตัว “โปรเจกต์เครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์” ที่มี ประสิทธิภาพทางความร้อนสูงถึง 48% ซึ่งถือว่า “ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ของ Toyota และ Mazda ที่ดีที่สุดในโลก” แต่ Omoda & Jaecoo ทำได้โดยใช้แนวทางของตัวเองอย่างสิ้นเชิง

 ทำไม “48% Thermal Efficiency” ถึงสำคัญนัก?

ในเชิงวิศวกรรม “ประสิทธิภาพทางความร้อน” หมายถึงสัดส่วนของพลังงานจากการเผาไหม้ที่ถูกเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนจริง ๆ โดยทั่วไปเครื่องยนต์เบนซินมีค่าอยู่ราว 30–40%, เครื่องดีเซลประมาณ 45%, และเฉพาะเครื่องที่ดีที่สุดของ Toyota หรือ Mazda เท่านั้นที่แตะ 40%

ดังนั้น การที่ Omoda & Jaecoo ทำได้ถึง 48% ถือเป็น “ก้าวกระโดด” อย่างแท้จริง เพราะทุก ๆ การเพิ่มขึ้น 1% ของประสิทธิภาพ หมายถึงการลดการใช้น้ำมันได้ 2.5% และลดการปล่อย CO₂ ได้ในระดับเดียวกัน ซึ่งหากใช้ในรถหลายล้านคันทั่วโลก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ

เคล็ดลับแห่งเทคโนโลยี — เครื่องยนต์แห่งอนาคตในวันนี้

ทีม R&D ของ Chery Group เปิดเผยว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากการปรับจูนเพียงเล็กน้อย แต่เป็น “การออกแบบใหม่ทั้งหมด” ตั้งแต่ภายในลูกสูบจนถึงระบบระบายความร้อน โดยมีเทคโนโลยีเด่น ๆ ดังนี้:

  • อัตราส่วนกำลังอัดสูงสุด 26:1 — สูงกว่ามาตรฐานเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปถึงสองเท่า ช่วยรีดพลังงานจากเชื้อเพลิงได้อย่างเต็มที่

  • Triple-Link Hyperbolic Mechanism — กลไกเชื่อมโยงลูกสูบสามชั้นแบบ “โค้งไฮเปอร์โบลา” ลดแรงเสียดทานในจังหวะการหมุน

  • EGR 35% (Exhaust Gas Recirculation) — นำไอเสียบางส่วนกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดอุณหภูมิการเผาไหม้และลด NOx

  • Thermal Insulation Coating — เคลือบผิวฉนวนกันความร้อนในห้องเผาไหม้ ลดการสูญเสียพลังงานจากความร้อน

เทคโนโลยีทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว เพื่อให้ได้ “เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกของไฮบริดยุคใหม่”

จากแนวคิดสู่การใช้งานจริง — ระบบ SHS (Super Hybrid System)

ในขณะเดียวกัน Omoda & Jaecoo ยังได้โชว์ศักยภาพของระบบไฮบริดปัจจุบันที่ชื่อว่า SHS – Super Hybrid System ซึ่งถูกติดตั้งในรถหลายรุ่นของแบรนด์แล้ว

ระบบนี้ผสมผสานเครื่องยนต์ 1.5 TDGI Miller Cycle เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และระบบเกียร์อัจฉริยะ DHT สามารถให้ประสิทธิภาพทางความร้อนสูงถึง 44.5% พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเพียง 6 ลิตร/100 กม. หรือ 16.6 กม./ลิตร คาดว่าใช้มาตรฐาน CLTC ของจีน

  • หากค่าเฉลี่ยทุกประสิทธิภาพความร้อนที่อ้างทุกๆการเพิ่ม 1% เป็น 2.5% จะเท่ากับประหยัดขึ้น 10% หรือ 18.6 กม./ลิตร

ที่สำคัญ ระบบ SHS สามารถปรับโหมดขับขี่แบบอัตโนมัติตามสภาพถนนและความเร็ว — เมื่อขับในเมืองจะใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก, ขับทางไกลจะใช้พลังไฮบริดผสม เพื่อให้ได้ทั้งความแรงและความประหยัดในเวลาเดียวกัน

ความปลอดภัยระดับสูงและความสามารถเหนือชั้น

แบตเตอรี่ในระบบ SHS ถูกออกแบบให้ ทนต่อความร้อน การสั่นสะเทือน และการจมน้ำ พร้อมระบบ ตัดไฟอัตโนมัติภายใน 2 มิลลิวินาที หากเกิดการชน ถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก

ในด้านการใช้งานจริง รถยังสามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 56 ไมล์ (90 กม.) เหมาะสำหรับการเดินทางในเมืองโดยไม่ใช้น้ำมันเลย อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) ที่สามารถจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกได้สูงสุด 3.3 กิโลวัตต์ เช่น ชาร์จโน้ตบุ๊ก, เปิดตู้เย็น, หรือแม้แต่ตั้งแคมป์นอกเมือง


ไฮบริดยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย “สมองและหัวใจ”

สิ่งที่ทำให้ Omoda & Jaecoo โดดเด่นคือ “แนวคิดแบบสองขั้ว” — เดินหน้าสู่ยุคไฟฟ้าเต็มตัว แต่ไม่ทิ้งรากเหง้าของเครื่องยนต์สันดาป พวกเขามองว่า “ความยั่งยืนที่แท้จริง” คือการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของโลกในแต่ละช่วงเวลา

เพราะในหลายประเทศ (รวมถึงไทย) โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้ายังไม่พร้อม 100% รถไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูงจึงยังคงเป็น “ทางออกที่ดีที่สุด” สำหรับผู้บริโภคในอีก 5–10 ปีข้างหน้า

Advertisement Advertisement

ทำไมเครื่องยนต์ Chery มีประสิทธิภาพ 48% แต่ยังไม่ประหยัดเท่า Toyota Hybrid?

ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ “รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ” ผู้ผลิตหลายรายกลับเลือกทางสายกลาง ด้วยการพัฒนา “ไฮบริดรุ่นใหม่” ที่ผสมผสานข้อดีของเครื่องยนต์สันดาปและพลังงานไฟฟ้าเข้าด้วยกัน

หนึ่งในค่ายที่สร้างเสียงฮือฮาที่สุดคือ Omoda & Jaecoo แบรนด์ลูกของ Chery Group ที่ประกาศว่าเครื่องยนต์รุ่นใหม่ของพวกเขามี “ประสิทธิภาพทางความร้อน (Thermal Efficiency)” สูงถึง 48% — สูงกว่าทุกค่ายในตลาดขณะนี้

แต่เมื่อดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองจริง กลับพบว่ารถไฮบริดของพวกเขายังใช้น้ำมันเฉลี่ย 6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (ประมาณ 16.6 กม./ลิตร)
ในขณะที่ Toyota Hybrid อย่าง Corolla Cross หรือ Camry Hybrid กลับทำได้ 4.3–5.0 ลิตร/100 กม. (20–23 กม./ลิตร) ทั้งที่มีประสิทธิภาพเพียง 41–44% เท่านั้น

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไม “Chery ที่มีเครื่องยนต์ดีที่สุดในโลก” ถึงยังไม่ประหยัดเท่า Toyota?

“Thermal Efficiency” คือค่าทดลองในห้องแล็บ ไม่ใช่ในชีวิตจริง

ตัวเลข 48% Thermal Efficiency ของ Chery มาจากการวัดบนเครื่องทดสอบในห้องแล็บ ที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ อุณหภูมิ และโหลดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ — หมายความว่าเครื่องจะทำงานในจุดที่เหมาะสมที่สุด 100%

แต่ในโลกความจริง เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงานแบบนั้นตลอดเวลา เวลาคุณเหยียบคันเร่ง ออกตัวขึ้นเนิน หรือขับในเมืองที่มีการหยุด-ออกตัวบ่อย ๆ เครื่องยนต์จะต้องเปลี่ยนรอบขึ้นลงตลอดเวลา ซึ่งค่า Thermal Efficiency จะ “ตกลง” เหลือราว 35–40% เท่านั้น

ส่วน Toyota Hybrid ใช้ระบบควบคุมการเผาไหม้แบบ “Atkinson Cycle” ที่ยอมเสียแรงบิดบางส่วนเพื่อให้รอบเครื่องทำงานในจุดที่ประหยัดที่สุดแทบตลอดเวลา — ทำให้ประสิทธิภาพเฉลี่ยจริงดีกว่า

ระบบ Hybrid ของ Chery เน้น “แรง” มากกว่า “ประหยัด”

Chery ใช้ระบบที่เรียกว่า SHS (Super Hybrid System) ซึ่งเป็นแบบ Parallel Hybrid
หมายความว่าเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนล้อได้พร้อมกัน — ให้แรงบิดสูง เหมาะกับรถ SUV ขนาดกลางและขับทางไกล

ในทางกลับกัน Toyota Hybrid System (THS) เป็นแบบ Series-Parallel Hybrid ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนล้อหลักในความเร็วต่ำ และเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าหรือเสริมแรงเท่านั้น จึงประหยัดกว่าในเมือง

พูดง่าย ๆ คือ

  • Chery SHS: เน้น “แรงบิดจัด ขับมันส์ สมรรถนะสูง”

  • Toyota THS: เน้น “นุ่มนวล ประหยัดในชีวิตจริง”

ดังนั้นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองของ Chery จึงสูงกว่าเล็กน้อย เพราะระบบเรียกใช้เครื่องยนต์บ่อยกว่า

มาตรฐานทดสอบ “CLTC” ของจีนให้ค่าสูงกว่า “WLTP” ของยุโรป

ตัวเลข 6 ลิตร/100 กม. ของ Omoda & Jaecoo มาจากการทดสอบตามมาตรฐาน CLTC (China Light-Duty Vehicle Test Cycle) ซึ่งใช้รูปแบบการขับขี่ที่ช้ากว่าและราบเรียบกว่า WLTP หรือ EPA ทำให้ตัวเลข “ดูดีเกินจริง” ประมาณ 10–20% นั้นแสดงว่า ค่าความประหยัดนี้ยังลดลงไปได้อีก

ถ้าปรับเทียบตามมาตรฐานยุโรป WLTP ตัวเลขจริงจะอยู่ประมาณ 5.0 ลิตร/100 กม. (20 กม./ลิตร) ซึ่งจริง ๆ ก็ถือว่า “ดีมาก” แล้วสำหรับรถ SUV ขนาดกลางที่มีมอเตอร์คู่

48% คือ “จุดสูงสุด” ไม่ใช่ “ค่าเฉลี่ย”

การบอกว่าเครื่องยนต์มี Thermal Efficiency 48% หมายถึงมัน “ทำได้สูงสุด” ในจุดใดจุดหนึ่งของวงจร เช่น ที่รอบเครื่อง 2,000 rpm และโหลดประมาณ 50% เท่านั้น แต่ในการใช้งานจริง เครื่องจะวิ่งอยู่ในช่วงที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่านั้นมาก

Toyota แม้มีค่าประสิทธิภาพสูงสุดต่ำกว่า (ประมาณ 41–44%) แต่ระบบ Hybrid ของพวกเขา “ล็อกเครื่องให้อยู่ในโซนประหยัดได้บ่อยกว่า” ด้วย e-CVT จึงได้ค่าเฉลี่ยที่ดีกว่าในชีวิตจริง

ความต่างใน “แนวคิดการออกแบบ”

  • Toyota: ใช้แนวคิด “Maximum Economy” – ทุกอย่างออกแบบเพื่อความประหยัดสูงสุดในเมือง

  • Chery: ใช้แนวคิด “Balanced Hybrid” – สมดุลระหว่างแรงบิด ความแรง และความประหยัด

พูดอีกอย่างคือ Toyota ทำรถเพื่อให้ “ใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด” ส่วน Chery ทำรถเพื่อให้ “ขับดีและปล่อยมลพิษน้อยที่สุด”

ระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ของ Chery ถูกออกแบบเพื่อ “ความทนทาน”

อีกปัจจัยหนึ่งคือ Chery ให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยและความทนทานของแบตเตอรี่ มากกว่า แบตเตอรี่ในระบบ SHS สามารถทนความร้อน การสั่นสะเทือน และการจมน้ำได้ พร้อมระบบตัดไฟภายใน 2 มิลลิวินาทีเมื่อเกิดการชน ซึ่งเพิ่มน้ำหนักและต้นทุน แต่ช่วยยืดอายุการใช้งานในระยะยาว

ปัจจัย Toyota Hybrid (THS) Omoda & Jaecoo SHS
Thermal Efficiency (สูงสุด) 41–44% 48%
ระบบขับเคลื่อน Series-Parallel Dual-Motor Parallel
จุดเด่น ความประหยัด, การขับนุ่ม สมรรถนะ, แรงบิดสูง
อัตราสิ้นเปลืองจริง 4.3–5.0 L/100 km 5.5–6.0 L/100 km
มาตรฐานทดสอบ WLTP / EPA CLTC (จีน)
จุดยืนทางเทคโนโลยี เน้น Efficiency เน้น Power + Durability

ดังนั้นแม้ Chery จะทำได้ถึง 48% Thermal Efficiency — ซึ่งถือว่า “เหนือชั้นทางวิศวกรรม” — แต่ในโลกแห่งการขับขี่จริง ตัวแปรอื่น ๆ อย่างน้ำหนักรถ ระบบส่งกำลัง และแนวทางการออกแบบ ทำให้มัน “ไม่ประหยัดที่สุด” แต่กลับ “ทรงพลังที่สุด” ในกลุ่มรถไฮบริดระดับเดียวกันแทน

Motor1

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้