T&E แฉยับ! รถ PHEV แค่ “ภาพลวงตาเขียว” ตัวจริงกินน้ำมันจัด ปล่อยคาร์บอนเพียบ

T&E แฉยับ! รถ PHEV แค่ “ภาพลวงตาเขียว” ตัวจริงกินน้ำมันจัด ปล่อยคาร์บอนเพียบ
Spread the love
Advertisement Advertisement

T&E แฉยับ! รถ PHEV แค่ “ภาพลวงตาเขียว” ตัวจริงกินน้ำมันจัด ปล่อยคาร์บอนเพียบ “เมื่อภาพลักษณ์สีเขียวเริ่มแตกร้าว” รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อาจไม่ได้เป็นสะพานสู่โลกไฟฟ้าที่เขียวจริง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “รถปลั๊กอินไฮบริด” หรือ PHEV เคยถูกยกให้เป็นฮีโร่แห่งยุคเปลี่ยนผ่าน — สะพานเชื่อมระหว่างเครื่องยนต์น้ำมันแบบเดิม กับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) มันให้ภาพลักษณ์สวยหรูว่า “ขับสนุก ประหยัด แถมรักษ์โลก” แต่รายงานล่าสุดจากองค์กร Transport & Environment (T&E) กลับทำให้วงการต้องตั้งคำถามใหม่

“รถที่เราเชื่อว่าเขียว…อาจไม่ได้เขียวจริง”

T&E ได้ทดสอบรถปลั๊กอินไฮบริดกว่า 800,000 คันในยุโรป และผลลัพธ์คือ ตัวเลขปล่อยคาร์บอนจริงสูงกว่าค่าที่ผู้ผลิตเคลมไว้เกือบ 5 เท่า

  • T&E ย่อมาจาก “Transport & Environment” เป็น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ตั้งอยู่ใน กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
    ก่อตั้งในปี 1990 มีภารกิจหลักคือ “ทำให้ระบบขนส่งของยุโรปเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด”

    โดยพวกเขามีบทบาทสำคัญในการ ล็อบบี้นโยบายของสหภาพยุโรป (EU) ด้าน

    • การปล่อยคาร์บอนของรถยนต์

    • มาตรฐานเชื้อเพลิง

    • การขับเคลื่อนให้เกิด “การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า”

  • ตัวอย่างผลงานสำคัญของ T&E ได้แก่
    • การเปิดโปง “ดีเซลเกต” (Dieselgate) ร่วมกับ ICCT  ของ Volkswagen ในปี 2015 ทำให้ VW ต้องเสียหายและค่าปรับรวมๆ 1.14 – 1.30 ล้านล้านบาท ถือเป็น “คดีสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก” แม้ T&E ไม่ใช่ผู้เปิดโปง Dieselgate โดยตรง (คนนั้นคือ ICCT + ม.เวสต์เวอร์จิเนีย) แต่หลังจากเรื่องแดงในปี 2015 T&E กลายเป็นองค์กรที่คอย “ตรวจสอบต่อเนื่อง” และ “กดดันรัฐบาล-ค่ายรถ”
    • รายงานปี 2021–2025 ที่แสดงว่า รถปลั๊กอินไฮบริดปล่อย CO₂ มากกว่าที่เคลมไว้ 3–5 เท่า
    • งานวิจัยด้าน EV lifecycle ที่ชี้ว่ารถไฟฟ้าทั้งหมด (BEV) มีการปล่อยคาร์บอนรวมต่ำกว่ารถน้ำมันถึง 70–80% ตลอดอายุการใช้งาน
    •  รายงานผลกระทบของการใช้ “e-Fuel” และ “Hydrogen” ในภาคขนส่ง

เมื่อ “ความเขียว” มีเงื่อนไข

หัวใจของ PHEV คือ “สองโลกในหนึ่งเดียว” — มีทั้งแบตเตอรี่และเครื่องยนต์เบนซิน แนวคิดเดิมคือ ให้ผู้ใช้ ชาร์จไฟทุกวัน แล้วใช้โหมดไฟฟ้า (EV Mode) สำหรับการขับใกล้ ๆ ส่วนเครื่องยนต์จะทำงานเฉพาะเวลาเดินทางไกล

Advertisement Advertisement

แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม…T&E พบว่าผู้ใช้จำนวนมาก “แทบไม่ชาร์จเลย” หรือขับด้วยน้ำมันเป็นหลัก เพราะรู้สึกว่าสะดวกกว่า รถจึงกลายเป็น “ไฮบริดหนัก” ที่ทั้งหนักกว่า และกินน้ำมันมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบไฟฟ้ายังทำงานน้อยลงกว่าที่คาดไว้ เช่น

  • เมื่อขึ้นเขา รถจะเรียกเครื่องยนต์มาช่วย
  • อากาศเย็น แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพลดลง
  • หรือเพียงแค่เร่งแซงเล็กน้อย รถก็สลับไปใช้น้ำมันทันที

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “พฤติกรรมผู้ใช้จริง” ต่างจาก “สมมติฐานของผู้ผลิต” อย่างสิ้นเชิง

ตัวเลขที่ชวนตกใจ

ในปี 2021 T&E เคยรายงานว่า รถ PHEV ปล่อย CO₂ จริงอยู่ที่ 134 กรัมต่อกิโลเมตร ในขณะที่ค่าทดสอบมาตรฐาน (WLTP) ของผู้ผลิตอยู่เพียง 38 กรัมต่อกิโลเมตร

แต่ล่าสุดในปี 2025 ช่องว่างยิ่งกว้างขึ้น

  • ผู้ผลิตเคลม 28 g/km
  • แต่ทดสอบจริงพบถึง 139 g/km

นั่นหมายความว่า รถที่ถูกขายในฐานะ “กึ่งไฟฟ้า” กลับปล่อยคาร์บอนเกือบเท่ารถน้ำมันเต็มตัว

ผลกระทบต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

หลายคนซื้อรถ PHEV เพราะเชื่อว่า “ค่าน้ำมันจะถูกลง” และ “รักษ์โลกกว่า” แต่ผลลัพธ์จริงคือ ค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นราว 500 ยูโรต่อปี (ประมาณ 18,000 บาท) แถมยังปล่อย CO₂ มากกว่าเดิม

สำหรับรัฐบาลและหน่วยงานสิ่งแวดล้อม ความผิดพลาดนี้หมายถึง…

  • เป้าหมายลดคาร์บอนของประเทศอาจพังไม่เป็นท่า
  • ค่ายรถบางรายเลี่ยงค่าปรับได้หลายพันล้านยูโร เพราะใช้ตัวเลข “มโน” แทน “ความจริง”

การแก้เกมของสหภาพยุโรป

EU เริ่มรู้ทัน และออกกฎใหม่ภายใต้แนวคิด “Utility Factor” — สัดส่วนเวลาที่รถขับในโหมดไฟฟ้าจริง ปัจจุบัน รถที่มีระยะทางไฟฟ้า 60 กม. จะถูกคำนวณว่าขับไฟฟ้า 80% แต่ปี 2025 จะเหลือแค่ 54% และในปี 2027 จะลดเหลือ 34%

อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้เกณฑ์ใหม่แล้ว T&E ยังพบว่า “ความต่างระหว่างเคลมกับความจริง” ยังคงมีถึง 18%

แล้วประเทศไทยล่ะ?

ในไทย รถปลั๊กอินไฮบริดเริ่มได้รับความนิยมจากกลุ่มคนเมือง เช่น BMW X5 xDrive50e, Volvo XC60 Recharge, MG HS PHEV, หรือ BYD Seal DM-i

แต่คำถามคือ “เราชาร์จจริงไหม?”

หากผู้ใช้ไทยยังใช้ PHEV แบบ “ไม่ชาร์จ” รถเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างจากรถเบนซินที่แบกน้ำหนักแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นหลายร้อยกิโลกรัม
ผลคือ

  • กินน้ำมันกว่าเดิม
  • ปล่อยคาร์บอนมากกว่าเดิม
  • แบตเตอรี่เสื่อมไวโดยไม่จำเป็น

ในทางกลับกัน หากผู้ใช้มีพฤติกรรมชาร์จทุกวัน และขับในระยะสั้น ๆ (เช่น บ้าน–ออฟฟิศ 20–30 กม.) รถ PHEV ก็ยังมีข้อดี แต่ต้อง “เข้าใจธรรมชาติของมัน” ไม่ใช่เชื่อคำโฆษณาอย่างเดียว

สะพานที่พาไปถึงไฟฟ้าจริง…หรือแค่ค้างอยู่กลางทาง?

รถปลั๊กอินไฮบริดถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ทางผ่าน” แต่หากผู้ใช้และผู้ผลิตยังไม่ปรับตัว มันอาจกลายเป็น “ทางตัน” เพราะสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามไปสู่โลกไฟฟ้า จะไม่มีความหมายเลย…ถ้าเราหยุดอยู่กลางสะพานนั้น

บทสรุป

รายงานของ T&E ไม่ได้บอกให้เรารังเกียจ PHEV แต่เตือนให้เรามอง “ความจริงหลังภาพเขียว” เทคโนโลยีไม่ผิด — พฤติกรรมและนโยบายต่างหากที่ทำให้มันล้มเหลว

รถปลั๊กอินไฮบริดจะยังคงมีที่ยืน หากใช้อย่างถูกวิธี แต่โลกกำลังเดินหน้าสู่ ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และวันหนึ่งในไม่ช้า คำถามสำคัญอาจไม่ใช่ว่า “PHEV เขียวไหม?”

แต่จะเป็นว่า  “เราพร้อมจะข้ามสะพานสู่โลกไฟฟ้าจริงหรือยัง?”

transportenvironment

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้