6 ค่ายรถญี่ปุ่นพร้อมอัดเงินลงทุน 50,000 ล้านบาท หนุนไทยสู่ศูนย์กลาง HEV–MHEV และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในอาเซียน

6 ค่ายรถญี่ปุ่นพร้อมอัดเงินลงทุน 50,000 ล้านบาท หนุนไทยสู่ศูนย์กลาง HEV–MHEV และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในอาเซียน
Spread the love
Advertisement Advertisement

 


บีโอไอเผยผลสำเร็จการเยือนญี่ปุ่น นักลงทุนร่วมงานกว่า 450 ราย 6 ค่ายรถญี่ปุ่นพร้อมอัดเงินลงทุน 50,000 ล้านบาท หนุนไทยสู่ศูนย์กลาง HEV–MHEV และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงในอาเซียน

การเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของคณะคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นำโดย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ระหว่างวันที่
27–29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของไทย ในการเร่งดึงดูดการลงทุนจากพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของไทยต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษ

ไฮไลท์สำคัญของภารกิจครั้งนี้ คือการจัดงานสัมมนาใหญ่ “Thailand–Japan Investment Forum 2025” ณ Tokyo Kaikan กรุงโตเกียว ที่บีโอไอร่วมกับ JETRO, ธนาคาร SMBC และพันธมิตรภาคธุรกิจญี่ปุ่น นำเสนอนโยบายและมาตรการสนับสนุนการลงทุนของไทย รวมถึงโอกาสใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์

งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีผู้บริหารบริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่นเข้าร่วมมากกว่า 450 คน ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ พลาสติก อาหารแปรรูป รวมถึงธุรกิจบริการ การเงิน ดิจิทัล การค้า และโลจิสติกส์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงมีต่อประเทศไทยในฐานะ “ศูนย์กลางการลงทุนและการผลิตในภูมิภาคอาเซียน”

รัฐบาลไทยยืนยันสนับสนุนการลงทุนญี่ปุ่นเต็มรูปแบบ เดินหน้า Quick Big Win

ในงานสัมมนา นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาเปิดงานผ่านระบบออนไลน์ โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–ญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง และบทบาทสำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย

  • ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นดำเนินธุรกิจในไทยมากกว่า 6,000 บริษัท
  • ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากญี่ปุ่นรวมกว่า 1,400 โครงการ
  • มูลค่าเงินลงทุนจากญี่ปุ่นรวมกว่า 420,000 ล้านบาท

รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่มุ่งสู่ “Quick Big Win” โดยมอบหมายให้บีโอไอเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน
ผ่าน 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่

  1. โครงการ Thailand FastPass เพื่อเร่งรัดและอำนวยความสะดวกในการอนุมัติโครงการลงทุนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
  2. การพัฒนาบุคลากรทักษะสูงจำนวน 100,000 คน รองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล
  3. การยกระดับผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังย้ำถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในไทย โดยเฉพาะกลุ่ม รถยนต์ไฮบริด (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV) ซึ่งบอร์ดอีวีได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เช่น โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศและรักษาฐานการผลิตในระยะยาว

6 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นพร้อมอัดเม็ดเงินลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาทในไทย

ระหว่างการเยือนญี่ปุ่น บีโอไอได้จัดการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 ราย
ซึ่งล้วนมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ได้แก่:

  • Toyota
  • Honda
  • Nissan
  • Mazda
  • Mitsubishi
  • Isuzu

ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นทั้ง 6 รายได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่เร่งสร้างความชัดเจนด้านมาตรการสนับสนุนการผลิต HEV และ MHEV ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในระยะยาว และยืนยันความพร้อมที่จะเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ในไทยรวมมูลค่ากว่า

50,000 ล้านบาท+

พร้อมกันนี้ กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังได้ยื่นข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลไทยใน 3 ด้านสำคัญ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศ ดังนี้:

  1. มาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศ
    ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้ฐานการผลิตในไทยเดินเครื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  2. มาตรการปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
    เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงจากรถนำเข้าและจากฐานการผลิตในประเทศอื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย
  3. มาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการส่งออกรถยนต์
    สนับสนุนให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์สำคัญของโลกต่อไป

บีโอไอได้ตอบรับข้อเสนอของค่ายรถ และยืนยันว่าจะนำประเด็นทั้งหมดเข้าสู่การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเสนอให้บอร์ดอีวีพิจารณาในลำดับถัดไป

Advertisement Advertisement

5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต ไทยชูจุดแข็งสอดรับความเชี่ยวชาญของญี่ปุ่น

ในงานสัมมนา เลขาธิการบีโอไอได้ฉายภาพโอกาสการลงทุนของไทย โดยเน้น 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่ไทยต้องการผลักดัน
และเป็นสาขาที่นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ได้แก่:

1. อุตสาหกรรม Bio–Circular–Green (BCG)

ครอบคลุมอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร สุขภาพ และพลังงานสะอาด มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรม เหมาะกับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการขยายธุรกิจด้านอาหารปลอดภัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และพลังงานสีเขียว

2. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ

ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์หลักของภูมิภาคและกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่ม Hybrid, Plug-in Hybrid, Mild Hybrid และชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของผู้ผลิตญี่ปุ่น

3. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ความต้องการชิปและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตของ AI, Data Center, EV และอุปกรณ์อัจฉริยะ ไทยจึงเล็งเห็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา

4. อุตสาหกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)

การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ไทยต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้า เซ็นเตอร์ เทคโนโลยีคลาวด์ ซอฟต์แวร์ AI และโซลูชันดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งญี่ปุ่นมีทั้งเทคโนโลยีและประสบการณ์ในระดับโลก

5. กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (Regional Headquarters)

ด้วยทำเลที่ตั้ง ระบบโลจิสติกส์ และข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ ทำให้ไทยเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเป็นฐาน ศูนย์กลางธุรกิจ (HQ) ของบริษัทญี่ปุ่นเพื่อเชื่อมต่อไปยังตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และอื่น ๆ

ดีลสำคัญกับพันธมิตรหลักจากญี่ปุ่น – Panasonic, Toppan, SMBC, MUFG, METI และ JETRO

นอกจากค่ายรถยนต์แล้ว คณะบีโอไอยังได้หารือกับนักลงทุนเป้าหมายและพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์จากญี่ปุ่นในหลายสาขา เพื่อผลักดันโครงการลงทุนใหม่ในไทย ดังนี้

Panasonic โรงงาน MEGTRON มูลค่า 4,000 ล้านบาท และการขยาย R&D

บริษัท Panasonic ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 10,000 คน ได้หารือแผนการลงทุนโครงการใหม่ในไทย โดยเตรียมก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อผลิต MEGTRON วัสดุสำหรับแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ความเร็วสูง ที่ใช้ใน AI Server และอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลรุ่นใหม่

พร้อมกันนี้ ยังมีการพูดคุยถึงการขยายกิจกรรมวิจัยและพัฒนา (R&D) ในไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศไทยจากฐานการผลิต ไปสู่ฐานการพัฒนานวัตกรรม

Toppan ขยายการลงทุนในบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ความปลอดภัยสูง

บริษัท Toppan ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลและการพิมพ์ความปลอดภัยสูง ปัจจุบันมีบริษัทลูกในไทย 5 แห่ง ผลิตบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์คุณภาพสูง เช่น บัตรเครดิต และเอกสารความปลอดภัย

บริษัทมองประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค และมีแผนขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บีโอไอได้เชิญชวนให้ Toppan พิจารณาการลงทุนผลิต IC Substrate ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

SMBC และ MUFG สนับสนุนการเงินและ Supply Chain Financing ให้บริษัทญี่ปุ่นและ SMEs ไทย

ธนาคารจากญี่ปุ่นอย่าง SMBC และ MUFG ได้หารือแนวทางสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว รวมถึงการผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย

โดยเฉพาะธนาคาร MUFG ยังได้เสนอแนวทางช่วยเหลือ SMEs ไทย ผ่านมาตรการ Supply Chain Financing โดยปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในเครือข่ายซัพพลายเชนของบริษัทญี่ปุ่น ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และลดปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

METI และ JETRO  เสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนไทย–ญี่ปุ่น

หน่วยงานภาครัฐของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ได้หารือแนวทางร่วมกับบีโอไอในการสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทย–ญี่ปุ่นในระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่ให้ความสำคัญ ได้แก่

  • การสนับสนุนการลงทุนของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในไทย
  • การส่งเสริมอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง
  • ความร่วมมือด้านการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

สรุป ญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นไทยเต็มร้อย – ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตยุทธศาสตร์ของภูมิภาค

จากจำนวนนักลงทุนที่เข้าร่วมสัมมนามากถึง 450 คน การประชุมหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น 6 รายใหญ่ และการเจรจาแผนลงทุนใหม่กับบริษัทชั้นนำอย่าง Panasonic, Toppan, รวมถึงความร่วมมือด้านการเงินจากธนาคารญี่ปุ่นรายใหญ่ แสดงให้เห็นชัดว่า

ญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และพร้อมขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากฐานเดิมที่ญี่ปุ่นเชี่ยวชาญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าประเภท HEV/MHEV เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับภาคธุรกิจไทยในห่วงโซ่คุณค่าโลก

บีโอไอยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมเป็นพันธมิตรหลักของนักลงทุนญี่ปุ่น และพร้อมร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางการลงทุนและนวัตกรรมของภูมิภาค” อย่างแท้จริง

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้