โดนฟ้องดีเซล! Mercedes, Ford, Peugeot, Renault และ Nissan “โกงค่ามลพิษ” ในอังกฤษ

โดนฟ้องดีเซล! Mercedes, Ford, Peugeot, Renault และ Nissan “โกงค่ามลพิษ” ในอังกฤษ
Spread the love
Advertisement Advertisement

“Dieselgate กลับมาหลอนอีกครั้ง!” เมื่อ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ ถูกฟ้องข้อหา “โกงค่ามลพิษ” ที่ศาลสูงลอนดอน

“พวกเขาเลือกจะโกง ดีกว่าทำตามกฎหมาย” — คำกล่าวเปิดศาลของทนายฝั่งผู้บริโภค นี่คือประโยคที่ทำให้ห้องพิจารณาคดีในกรุงลอนดอนแทบสะเทือน

จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ “Dieselgate”

ย้อนไปเมื่อปี 2015 โลกยานยนต์ต้องสั่นสะเทือน เมื่อสหรัฐฯ เปิดโปงว่า Volkswagen ใช้ซอฟต์แวร์หลอกตรวจมลพิษ หรือที่เรียกว่า “defeat device” ในรถดีเซลของตนเอง ซอฟต์แวร์นี้ฉลาดพอจะรู้ได้ว่า “ตอนนี้รถกำลังถูกทดสอบในห้องแล็บ” เมื่อถึงเวลานั้น ระบบจะเปิดโหมดลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ทำให้ค่าที่ตรวจได้ดูสะอาดราวกับรถปล่อยไอบริสุทธิ์

แต่เมื่อรถถูกขับบนถนนจริง ระบบดังกล่าวกลับถูกปิด! ผลคือ รถที่โฆษณาว่าปล่อยมลพิษต่ำ กลับปล่อย NOx สูงกว่ามาตรฐานหลายเท่า

Volkswagen ต้องยอมรับผิดเต็ม ๆ รถกว่า 11 ล้านคันทั่วโลก ถูกตรวจพบว่ามีการติดตั้งซอฟต์แวร์นี้ และบริษัทต้องจ่ายค่าปรับและชดเชยกว่า £26,000 ล้านปอนด์ (ราว 1.12 ล้านล้านบาท)

ดีเซลเกตภาคสอง อังกฤษเปิดศึกใหม่กับ 5 ค่ายยักษ์

หลังผ่านไปเกือบ 10 ปี เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ ในปี 2025 อังกฤษเปิดฉากคดี “Dieselgate รอบใหม่” โดยมีจำเลยคือ 5 บริษัทรถยนต์ระดับโลก ได้แก่ Mercedes-Benz, Ford, Peugeot/Citroën, Renault และ Nissan

บริษัทเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าใช้วิธีเดียวกัน — คือซ่อน “โหมดทดสอบ” เอาไว้ในระบบ ECU เพื่อให้รถผ่านการตรวจมลพิษได้ง่ายขึ้น แต่ปล่อยมลพิษสูงกว่าที่กำหนดเมื่อใช้งานจริงบนถนน

ทนายความฝ่ายผู้บริโภค โธมัส เดอ ลา มาเร (Thomas De La Mare KC) กล่าวในศาลว่า

“บริษัทรถเลือกความสะดวกของลูกค้าและยอดขาย มากกว่าความสะอาดของอากาศที่ผู้คนต้องหายใจ”

เขาอ้างอิงรายงานจาก Centre for Research on Energy and Clean Air (CREA) ที่ระบุว่า ก๊าซ NOx ส่วนเกินจากเครื่องยนต์ดีเซลของยุโรประหว่างปี 2009–2024 ทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยกว่า 124,000 ราย และเด็กอีกเกือบ แสนคนเป็นโรคหอบหืดใหม่

ฝ่ายผู้ผลิตตอบโต้แรง

แต่แน่นอน บริษัทรถยนต์ทั้งห้าปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอย่างแข็งกร้าว

  • Renault ยืนยันว่าระบบควบคุมการปล่อยมลพิษที่ถูกโจมตีนั้น “ออกแบบอย่างถูกต้องและจำเป็นต่อการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลที่มีประสิทธิภาพ”

    Advertisement Advertisement
  • Ford ใช้คำแรงกว่านั้น โดยทนาย นีล มูดี้ KC บอกว่าคดีนี้ “ไร้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง” และกล่าวหาว่าโจทก์ “สร้างภาพสมคบคิดในอุตสาหกรรมที่ฟังไม่ขึ้น”

  • Mercedes-Benz ระบุว่าการทำงานของระบบในช่วงทดสอบ “ชอบด้วยกฎหมายและเหตุผลทางเทคนิค”

  • ส่วน Peugeot-Citroën (Stellantis) และ Nissan ก็ออกแถลงการณ์ยืนยันว่ารถของตน “เป็นไปตามมาตรฐานกฎหมายในช่วงเวลานั้นทุกประการ”

เสียงของผู้สูญเสีย: “อากาศสะอาดคือสิทธิมนุษย์”

นอกศาลสูงลอนดอนมีการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์จากกลุ่ม Mums for Lungs และนักเคลื่อนไหว รอซามันด์ อดู-คิสซี-เดบราห์ (Rosamund Adoo-Kissi-Debrah) ผู้สูญเสียลูกสาววัย 9 ขวบ “เอลล่า” ซึ่งกลายเป็นบุคคลแรกในสหราชอาณาจักรที่ศาลระบุว่า “เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ”

เธอถือป้ายเขียนว่า

“I support Ella’s Law – Clean Air is a Human Right” หรือ “ฉันสนับสนุนกฎหมายของเอลล่า – อากาศสะอาดคือสิทธิมนุษยชน”

ภาพของเธอหน้าศาลสูง กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ครั้งนี้

คดีนี้ใหญ่แค่ไหน?

นี่คือคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษและเวลส์ มีเจ้าของรถที่เข้าร่วมแล้วกว่า 880,000 คน และหากรวมทั้งหมด อาจแตะ 1.6 ล้านคนทั่วประเทศ

  • ทนายความโจทก์ชี้ให้เห็นว่า “หากศาลตัดสินว่าบริษัทรถยนต์ละเมิดกฎระเบียบ ไม่เพียงแต่จำเลยทั้งห้ารายนี้จะต้องรับผิดชอบเท่านั้น แต่ Jaguar Land Rover, Toyota, Vauxhall/Opel, BMW และบริษัทรถยนต์อื่นๆ ที่ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาลโดยตรงก็อาจต้องเผชิญกับการเรียกร้องค่าชดเชยตามคำพิพากษานี้ด้วย

ในปี 2020 ศาลสูงอังกฤษเคยตัดสินว่า Volkswagen ใช้อุปกรณ์หลอกตรวจจริง บริษัทจึงยอมความนอกศาล จ่ายเงินชดเชยกว่า £193 ล้านปอนด์ หรือ 8,387 ล้านบาท ให้ผู้เสียหาย 91,000 ราย แต่ในกรณีใหม่นี้ หากศาลตัดสินว่า 5 ค่ายยักษ์ทำผิดจริง ยอดค่าชดเชยอาจ “ทะลุหลักหมื่นล้านปอนด์” ซึ่งอาจแตะระดับล้านล้านบาทได้ และส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก

เส้นทางยาวไกลถึงปี 2026

คดีนี้จะพิจารณาโดย เลดี้ผู้พิพากษา ค็อกเกอร์ริลล์ (Lady Justice Cockerill) ซึ่งกำหนดให้การไต่สวนหลักเสร็จสิ้นภายใน ธันวาคม 2025 แต่การพิจารณาข้อกฎหมายเชิงลึกจะเริ่ม มีนาคม 2026 และคาดว่าคำตัดสินสุดท้ายจะออกใน กลางปี 2026

บทสรุป จุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมดีเซล

คดีนี้ไม่ได้เป็นเพียงการฟ้องร้อง “ตัวเลขค่ามลพิษ” แต่มันสะท้อนคำถามใหญ่ของวงการรถยนต์ยุโรป — ดีเซลยังมีที่ยืนในโลกที่หันหน้าเข้าสู่พลังงานสะอาดหรือไม่? หลายประเทศในยุโรปประกาศชัดว่าจะ “แบนรถดีเซลใหม่” ภายในปี 2030 และเหตุการณ์นี้อาจเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค รถไฟฟ้า (EV) เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด

“จากดีเซลเกตสู่อีวีเกต?”

สิ่งที่น่าคิดคือ อุตสาหกรรมรถยนต์จะเรียนรู้จากอดีตได้หรือไม่ เมื่อครั้งหนึ่ง “ดีเซล” เคยถูกยกย่องว่าเป็นเทคโนโลยีสะอาดสำหรับอนาคต แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น “ฝันร้ายทางสิ่งแวดล้อม”

และในวันที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ คำถามต่อไปคือ — เราจะมั่นใจได้แค่ไหนว่า “เทคโนโลยีใหม่” จะไม่ซ่อน “ซอฟต์แวร์หลอกโลก” ไว้เหมือนในอดีตอีก?

BBC

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้