กว่า 90% ของแบรนด์รถยนต์ในจีนยังขาดทุน จากสงครามราคา จาก 50 แบรนด์ อาจเหลือแค่ 10-15 รายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างเร่งเครื่องเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคไฟฟ้า จีนกลับดูจะล้ำหน้าไปไกลแล้ว ด้วยการปล่อยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคและระบบแบตเตอรี่สุดล้ำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าเบื้องหลังเสียงฮือฮาและรถใหม่สุดว้าวเหล่านั้น กลับมีความจริงทางการเงินที่ชวนกังวลซ่อนอยู่ — แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในจีนยังคง “เผาเงิน” มากกว่าการ “ทำเงิน”
การแข่งขันดุเดือด แต่รายได้ยังไม่มา
ในปัจจุบัน มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าราว 50 รายที่กำลังแย่งชิงพื้นที่บนถนนในจีน แต่มีเพียง 3 แบรนด์เท่านั้นที่เชื่อว่ามีกำไร ได้แก่ BYD, Li Auto และ Seres ถึงอย่างนั้น แบรนด์อื่น ๆ ก็ยังคงแจกส่วนลดกันแบบใจป้ำ เพื่อขยายฐานลูกค้า แม้จะต้องแลกด้วยความไม่มั่นคงทางการเงินก็ตาม
ส่วนลด…ยังไม่ถึงที่สุด
จากการศึกษาของ JP Morgan (ที่อ้างอิงโดย South China Morning Post) พบว่าส่วนลดเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2025 อยู่ที่ 16.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 16.3% ในเดือนมีนาคม สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน (CPCA) ระบุว่าส่วนลดเฉลี่ยทั้งปี 2024 อยู่ที่ 8.3% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าก็ถูกหั่นลงไปอีก 10% ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา — นี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันดุเดือด แต่เป็นสงครามที่ไม่ยั่งยืน
ในปีที่ผ่านมา ส่วนต่างของราคาขายกับต้นทุน (Vehicle Margin) ที่รวมทั้งวัตถุดิบ แรงงาน และโลจิสติกส์ ลดลงเหลือเพียง 10% จากเดิมที่เคยอยู่ราว ๆ 20% เมื่อ 4 ปีก่อน นักวิเคราะห์คาดว่าแบรนด์ EV ขนาดเล็กในจีนส่วนใหญ่จะทยอย “ตกรอบ” หรือไม่ก็ถูกซื้อกิจการในไม่กี่ปีข้างหน้า
“เกือบทุกแบรนด์ที่ล้มหายไป ล้วนตกเป็นเหยื่อของสงครามราคา” — Phate Zhang จาก CnEVPost กล่าว “แต่ถ้าแบรนด์ไหนพยายามจะออกจากสมรภูมินี้ ยอดขายก็จะตกทันที แล้วก็ยิ่งหากำไรยากขึ้นไปอีก”
ความหวัง…อยู่นอกพรมแดน
หนึ่งในทางรอดที่เริ่มเห็นเค้าลางคือ ตลาดส่งออก ผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายรายเริ่มส่ง EV ไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งสามารถตั้งราคาสูงและทำกำไรได้มากกว่า Nick Lai จาก JPMorgan กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็น “แหล่งพักหายใจ” ให้กับหลายบริษัท
“การแข่งขันเรื่องราคารุนแรงขึ้นอย่างมากในปีนี้ แต่น่าเสียดายที่เรายังไม่เห็นความต้องการ EV ในประเทศเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด” Lai กล่าว แม้ว่าตลาดจีนจะใหญ่ แต่ก็ไม่เติบโตเร็วพอที่จะรับมือกับส่วนลดที่แจกไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม การส่งออกกำลังพุ่งขึ้น — ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น ประมาณ 33% ของยอดส่งออกรถยนต์ทั้งหมดของจีน เพิ่มขึ้นจาก 25% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ยังไม่ใช่ทางรอดทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเอาตัวรอดจากศึกบนแผ่นดินแม่ที่กำลังเดือดสุด ๆ
การขาดทุนของแบรนด์ EV จีน
แม้จีนจะเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก แต่ กว่า 90% ของแบรนด์ EV ในประเทศยังขาดทุน โดยเฉพาะแบรนด์เกิดใหม่และรายเล็ก ที่พึ่งพาการ “เผาเงิน” แจกส่วนลด เพื่อดึงยอดขาย แต่ไม่สามารถสร้างกำไรจากยอดขายได้จริง
ปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้ขาดทุน:
- สงครามราคา: ส่วนลดเฉลี่ยพุ่งเกิน 16% ต่อคันในบางเดือน
- ต้นทุนการผลิตสูง: วัตถุดิบ แบตเตอรี่ แรงงาน และโลจิสติกส์
- มาร์จิ้นต่ำ: จากเดิม 20% เหลือเพียง 10% หรือบางแบรนด์ “ติดลบ”
- ยอดขายไม่โตพอ: ตลาดจีนเริ่มอิ่มตัวในบางกลุ่มราคา
จะเหลือแบรนด์กี่รายในอนาคต? จากการประเมินของนักวิเคราะห์อุตสาหกรรม เช่น JP Morgan และ CnEVPost:
- จาก ~50 แบรนด์ EV ในปัจจุบัน
- อาจเหลือ ไม่เกิน 10-15 ราย ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
-
โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีจุดแข็งด้าน
- ขนาดการผลิต (economy of scale)
- เทคโนโลยี (เช่น แพลตฟอร์ม/แบตเตอรี่)
- ช่องทางการส่งออก
- การสนับสนุนจากรัฐบาล/พันธมิตร
แบรนด์ที่น่าจะรอด (ตัวอย่าง)
- BYD: ครองตลาดทุกกลุ่ม ราคา + มีโรงงานในต่างประเทศ
- Li Auto: โฟกัส REEV ที่ยังตอบโจทย์ผู้ใช้จีน
- NIO: เจาะตลาดพรีเมียม และเริ่มส่งออก
- Seres (กับ Huawei): อาศัยพลังแบรนด์เทค
- Geely / Zeekr: มีหลายแบรนด์ในเครือ + ส่งออกยุโรป
- Changan / Deepal: รัฐสนับสนุนหนัก
- Xiaomi Auto : แบรนด์เกิดใหม่ แต่มีพลังอย่างมากในการขาย พวกเขาใช้เวลา 1 ปี 2 เดือนผลิต รถยนต์รุ่นเดียว SU7 กว่า 258,000 คัน นับเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับแบรนด์น้องใหม่