เปิดจองไทย 2.8x ล้านบาท AVATR 11 Royal Edition สุดหรูหรา AWD 680KM

เปิดจองไทย 2.8x ล้านบาท AVATR 11 Royal Edition สุดหรูหรา AWD 680KM
Spread the love
Advertisement Advertisement

Infinite Automobile เปิดตัว “AVATR RAMA 3” แฟลกชิปโชว์รูมแห่งใหม่ ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมเผยโฉม AVATR 11 Royal Edition สุดหรู

กรุงเทพฯ, 11 พฤศจิกายน 2568 – บริษัท อินฟินิท ออโตโมบิล จำกัด ในเครือ AAS Group เดินหน้าขยายธุรกิจแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม “AVATR” เปิดตัวโชว์รูมแห่งใหม่ “AVATR RAMA 3 Flagship Showroom” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นโชว์รูมแฟลกชิปแห่งแรกในประเทศไทยที่มีพื้นที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดของแบรนด์ พร้อมเผยโฉมยนตรกรรมไฟฟ้ารุ่นพิเศษ AVATR 11 Royal Edition ต่อหน้าสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ

ศูนย์กลางประสบการณ์พรีเมียมบนพื้นที่กว่า 9,000 ตร.ม.

โชว์รูม AVATR RAMA 3 ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมกว่า 9,000 ตารางเมตร บนที่ดินกว่า 2.5 ไร่ ออกแบบภายใต้มาตรฐานการตกแต่งของ AVATR ระดับโลก ภายในแบ่งโซนการใช้งานครบถ้วน ทั้ง

  • พื้นที่จัดแสดงรถยนต์รุ่นต่าง ๆ
  • Customer Lounge หรูหราระดับพรีเมียม
  • ศูนย์บริการครบวงจร ครอบคลุมงานเช็กระยะ ซ่อมทั่วไป และศูนย์ซ่อมสีมาตรฐานยุโรป
  • พื้นที่ส่งมอบรถ และบริการหลังการขาย

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเงินลงทุนกว่า 120 ล้านบาท เพื่อสร้างประสบการณ์เหนือระดับให้ลูกค้า AVATR ในทุกขั้นตอนของการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า

“AVATR RAMA 3” แฟลกชิปโชว์รูมที่สะท้อนวิสัยทัศน์ AAS Group

นาย อนุวัชร อินทรภูวศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินฟินิท ออโตโมบิล จำกัด กล่าวว่า

“โชว์รูม AVATR พระราม 3 คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของอินฟินิท ออโตโมบิล ในการสร้างแฟลกชิปโชว์รูมแห่งแรกในไทย ที่ไม่เพียงใหญ่ที่สุด แต่ยังครบวงจรที่สุด ทั้งด้านการขาย บริการ และการรับรองลูกค้าในมาตรฐานระดับโลก”

เขายังเสริมว่า บริษัทมีแผนพัฒนาเพิ่มเติมในอนาคต โดยในเดือนมีนาคม 2569 โชว์รูมจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ พร้อมขยายพื้นที่ชั้น 3 ให้เป็นศูนย์อบรมและห้องประชุมของผู้จำหน่ายในเครือ ขณะที่ชั้นดาดฟ้าจะเป็นลานกิจกรรมกลางแจ้งสำหรับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของแบรนด์

AVATR 11 Royal Edition  ความหรูหราเหนือระดับกับดีไซน์ Dual Tone

อีกหนึ่งไฮไลต์ในงานเปิดตัว คือการเผยโฉม AVATR 11 Royal Edition รุ่นพิเศษที่ผสานดีไซน์หรูเข้ากับสมรรถนะอัจฉริยะของรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม

ตัวถัง Dual Tone สี Glossy Grey และ Glossy Black ตกแต่งด้วยเส้นสาย Platinum Silver รอบคัน ถ่ายทอดความประณีตและสง่างาม ขณะที่ห้องโดยสารหรูหราด้วยวัสดุหนังแท้ Full Grain Semi-Aniline ที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรม Opera House

ภายในเน้นบรรยากาศแห่งความสงบและสุนทรียภาพเหนือระดับ พร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะครบครัน โดยมีการเผยราคาคาดการณ์เบื้องต้นอยู่ที่ ราว 2.8 ล้านบาท (2,8XX,XXX บาท) ก่อนประกาศราคาอย่างเป็นทางการจาก ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) ในเร็ว ๆ นี้

INFINITR Club – สิทธิพิเศษเหนือระดับสำหรับลูกค้า AVATR

ลูกค้า AVATR จากอินฟินิท ออโตโมบิล ทุกท่านจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม “INFINITR” (อินฟินิทาร์) คลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่รวมความหรูหราและไลฟ์สไตล์เหนือระดับไว้ด้วยกัน ทั้งด้านการกินดื่ม การเดินทาง และกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ของผู้ใช้ AVATR ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันในชีวิตระดับพรีเมียม

7 สาขาทั่วประเทศ พร้อมเปิดจอง AVATR 11 Royal Edition แล้ววันนี้

อินฟินิท ออโตโมบิล พร้อมเปิดจอง AVATR 11 Royal Edition แล้ววันนี้ ที่โชว์รูม AVATR ทั้ง 7 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่

  • AVATR Rama 3 โทร. 081-919-8615
  • AVATR Siam Paragon โทร. 080-042-5574
  • AVATR Vibhavadi โทร. 087-078-6644
  • AVATR Kanchanaphisek โทร. 088-501-4299
  • AVATR Phuket โทร. 093-364-9647
  • AVATR Hat Yai โทร. 091-969-7999
  • AVATR Chiang Mai โทร. 065-839-9888

ข้อมูลเทคนิค Royal Edition

มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motors)

  • จำนวนมอเตอร์: 2 ตัว (ขับเคลื่อน 4 ล้อ – AWD)

  • ชนิดมอเตอร์

    • ด้านหน้า: Asynchronous AC Motor (มอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสสลับ)
    • ด้านหลัง: Permanent Magnet Synchronous Motor – PMSM (แม่เหล็กถาวรซิงโครนัส)
  • กำลังสูงสุดรวม (Total Max Power): 425 kW (≈ 578 PS)
  • แรงบิดสูงสุดรวม (Total Torque): 650 N·m
  • ระบบขับเคลื่อน: All-Wheel Drive (AWD) พร้อมระบบควบคุมแรงบิดแยกอิสระระหว่างล้อหน้า-หลัง
  • อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม.: ประมาณ 3.9 วินาที

 แบตเตอรี่ (Battery)

  • ชนิดแบตเตอรี่: Ternary Lithium Battery (NCM) ผลิตโดย CATL (Contemporary Amperex Technology Co., Ltd.)
  • ความจุรวม (Capacity): 116 kWh (usable ≈ 109 kWh)
  • แรงดันระบบไฟฟ้า: 800 V High-Voltage Platform
  • ระบบระบายความร้อน: Liquid-cooled Thermal Management
  • ระยะทางวิ่งสูงสุด: ≈ 680 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ระบบชาร์จไฟ (Charging)

  • DC Fast Charging:

    • กำลังสูงสุด 240 kW
    • ชาร์จ 30 → 80 % ภายใน ≈ 15 นาที
    • มาตรฐานหัวชาร์จ CCS2 Combo
  • AC Normal Charging:

    • กำลังสูงสุด 11 kW (Type 2)
    • ใช้เวลาชาร์จเต็ม ≈ 8–10 ชั่วโมง
  • ระบบ Vehicle-to-Load (V2L) จ่ายไฟให้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกได้ สูงสุด 3.3 kW

ขนาดตัวถัง AVATR 11 Royal Edition

รายการ ค่า (มิลลิเมตร / หน่วย) หมายเหตุ
ความยาว (Length) 4,880 มม.
ความกว้าง (Width) 1,970 มม.
ความสูง (Height) 1,601 มม.
ระยะฐานล้อ (Wheelbase) 2,975 มม. เท่ากันทุกเกรด
ระยะห่างล้อหน้า/หลัง (Front / Rear Track) 1,678 / 1,678 มม. สมดุลหน้า-หลัง
ความสูงจากพื้น (Ground Clearance) 170 มม. เหมาะกับ SUV หรู ขนาดกลาง
รัศมีวงเลี้ยวน้อยสุด (Turning Radius) 5.4 ม. ข้อมูลในสเปคชีตภาษาอังกฤษ
จำนวนที่นั่ง (Seats) 5 ที่นั่ง
น้ำหนักรถ (Curb Weight) 2,425 กก.

ระบบช่วงล่าง (Chassis & Suspension System)

ระบบช่วงล่างของ AVATR 11 Royal Edition ได้รับการออกแบบเพื่อให้สมดุลระหว่างความสบายและความแม่นยำในการควบคุม โดยใช้โครงสร้างและเทคโนโลยีในระดับเดียวกับรถสปอร์ตหรูขนาดใหญ่

  • ด้านหน้าเป็นแบบ Double Wishbone (ปีกนกคู่) ซึ่งให้การยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมและตอบสนองแม่นยำในขณะเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลน ช่วยลดการโคลงของตัวถังและรักษาองศาล้อให้คงที่ในทุกสภาพถนน
  • ด้านหลังเป็นแบบ Multi-link (Five-link Independent) พร้อมระบบ Magnetorheological Suspension (MR Suspension) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโช้กอัจฉริยะที่สามารถปรับค่าความหนืดของน้ำมันในโช้กได้แบบเรียลไทม์ ภายในเสี้ยววินาทีตามสภาพถนนและโหมดการขับขี่ ทำให้รถสามารถเปลี่ยนบุคลิกจาก “นุ่มนวลและเงียบ” ไปเป็น “หนึบแน่นมั่นใจ” ได้ในทันที
  • พวงมาลัยเป็นแบบ Electric Power Steering (EPS) ที่ให้การควบคุมแม่นยำ พร้อมปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ เพื่อให้บังคับง่ายในเมืองและมั่นคงในความเร็วสูง
  • ระบบเบรกใช้แบบ ดิสก์เบรกมีช่องระบายความร้อนทั้งหน้าและหลัง พร้อมคาลิเปอร์ Brembo สีแดงหรือเหลือง ตามรุ่นล้อ 22 นิ้ว ช่วยให้ประสิทธิภาพการหยุดรถมั่นใจและคงที่ต่อเนื่องแม้ภายใต้การใช้งานหนัก

แนวคิดการออกแบบภายใน (Interior Concept)

ห้องโดยสารของ AVATR 11 Royal Edition สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “Emotional Intelligence Cabin” หรูหรา อบอุ่น และล้ำยุคในเวลาเดียวกัน ทุกจุดถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่แห่งอารมณ์และประสบการณ์” โดยเชื่อมโยงแสง เสียง กลิ่น และการสัมผัสเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

วัสดุและงานประกอบทุกชิ้นผ่านกระบวนการผลิตระดับหัตถศิลป์ เพื่อให้สมกับตำแหน่งรุ่นสูงสุดของตระกูล AVATR 11

เบาะนั่งและวัสดุพรีเมียม (Seats & Materials)

  • เบาะคู่หน้าแบบ Zero-Gravity Seats ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ขั้นสูง ให้ความรู้สึก “ไร้น้ำหนัก” ขณะนั่ง มาพร้อมระบบ ปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง, ฟังก์ชันนวด, และ ระบบระบายอากาศ ช่วยให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารผ่อนคลายได้ตลอดการเดินทาง
  • วัสดุหุ้มเบาะระดับ Full-Grain Semi-Aniline Leather หนังแท้เต็มแผ่นคุณภาพสูง เย็บด้วยมืออย่างประณีตเฉพาะรุ่น Royal Edition ให้ผิวสัมผัสนุ่มหรูและกลิ่นหนังธรรมชาติ ส่วนรุ่นย่อยอื่นจะใช้หนัง Nappa
  • สีภายในเฉพาะรุ่น โทน White / Red (ขาวแดง) ตัดด้วยแผงคอนโซลและประตูสีเงินเข้ม ให้ภาพลักษณ์หรูและทรงพลัง
  • หลังคาภายใน (Headliner) บุด้วยวัสดุ Suede สีพิเศษ ช่วยลดเสียงสะท้อนและเพิ่มความรู้สึกอบอุ่น

แสงและบรรยากาศภายใน (Ambient & Comfort)

  • ระบบ Emotional Vortex Multi-color Dynamic Ambient Light ไฟตกแต่งภายในเปลี่ยนสีได้ 256 เฉด พร้อมเอฟเฟกต์เปลี่ยนจังหวะตามเสียงเพลงหรือโหมดการขับขี่
  • ระบบ Speed Adaptive Sound Adjustment ปรับระดับเสียงเพลงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ให้ความสมดุลของเสียงภายในห้องโดยสารทุกจังหวะ
  • ระบบปรับอากาศแยกโซน พร้อมฟังก์ชันกรองฝุ่นและระบบกำจัดกลิ่น

ระบบความบันเทิงและเทคโนโลยี (Infotainment & Connectivity)

  • หน้าจอหลัก 3 จอเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ

    • จอผู้ขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว (LCD Meter)
    • จอผู้โดยสารหน้า 10.25 นิ้ว (Touchscreen)
    • จอกลางควบคุมหลัก 15.6 นิ้ว (Touchscreen)
  • ระบบเสียง Meridian™ Surround Premium 25 ลำโพง สร้างมิติเสียงรอบทิศทาง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตจริง ตำแหน่งลำโพงถูกจัดวางรอบห้องโดยสารอย่างแม่นยำ เพื่อสร้าง “จุดศูนย์กลางเสียง” ที่สมบูรณ์แบบ
  • รองรับระบบ Online Music / Online Navigation / Wi-Fi Hotspot และ 4-Zone Voice Control (รองรับทั้งภาษาไทยและอังกฤษ)
  • ระบบ Wireless Charger 50W, Digital Key, และ Mobile App Remote Control สั่งเปิด-ปิดรถ เปิดแอร์ หรือเช็กสถานะผ่านสมาร์ตโฟนได้ทันที
  • ระบบ Over-the-Air (OTA) รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์รถยนต์โดยไม่ต้องเข้าศูนย์บริการ

 ความสะดวกสบายและการต้อนรับ (Convenience & Luxury Touches)

  • ระบบประตูแบบ Frameless Door Windows พร้อม Soft-Close Door
  • ประตูไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automatic Doors) และฝาท้ายเปิดไฟฟ้าพร้อมกันหนีบ
  • ระบบ Intelligent Welcome Light เมื่อผู้ขับเข้าใกล้รถ ไฟภายนอกและภายในจะเปิดต้อนรับโดยอัตโนมัติ
  • เบาะหลังเอนนอนได้ มาพร้อมช่องแอร์แยกอุณหภูมิ และพนักวางแขนขนาดใหญ่

ระบบความปลอดภัย และเทคโนโลยีการขับขี่ (Safety & Driving Technology)

รุ่น Royal Edition ได้รับการติดตั้งระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะและระบบความปลอดภัยเชิงรุกเต็มรูปแบบ ออกแบบบนแนวคิด “Awareness From Every Angle – ความมั่นใจในทุกการขับขี่” โดยใช้กล้อง เซนเซอร์ และเรดาร์รอบคัน เพื่อมอบความปลอดภัยระดับสูงสุดแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร

ระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS – Advanced Driver Assistance Systems)

ระบบช่วยขับของ AVATR 11 Royal Edition ครอบคลุมทุกสถานการณ์บนท้องถนน ให้ความปลอดภัยเชิงรุกระดับเดียวกับรถยุโรปพรีเมียม

ระบบหลักที่ติดตั้งในรุ่น Royal Edition ได้แก่

  • ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อม Stop & Go – ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ตามรถคันหน้าได้อย่างนุ่มนวล
  • IACC (Integrated Adaptive Cruise Control) – ทำงานร่วมกับระบบเลนและแผนที่ เพื่อควบคุมรถอย่างชาญฉลาดในเส้นทางคดเคี้ยว
  • TJA (Traffic Jam Assist) – ขับตามรถอัตโนมัติในสภาพการจราจรหนาแน่น
  • LCC (Lane Centering Control) – รักษารถให้อยู่กลางเลนได้อย่างแม่นยำ
  • LKA / LDC / ELK (Lane Keep, Lane Departure & Emergency Lane Keeping) – ป้องกันการออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ
  • UDLC (User Directed Lane Change) – เมื่อเปิดไฟเลี้ยว รถจะเปลี่ยนเลนให้อัตโนมัติอย่างปลอดภัยและนุ่มนวล

ระบบเตือนและป้องกันการชน (Collision & Cross-Traffic Safety)

  • FCW (Forward Collision Warning) – เตือนการชนด้านหน้า
  • AEB (Automatic Emergency Braking) – เบรกอัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยงชน
  • FCTA / FCTB (Front Cross Traffic Alert / Braking) – เตือนและเบรกเมื่อมีรถตัดหน้าทางแยก
  • RCW (Rear Collision Warning) – เตือนการชนจากด้านหลัง
  • RCTA / RCTB (Rear Cross Traffic Alert / Braking) – เตือนและเบรกเมื่อมีรถตัดหลังขณะถอย
  • BSD (Blind Spot Detection) – ตรวจจับรถในจุดอับสายตา
  • SEW (Safe Exit Warning) – เตือนเมื่อจะเปิดประตูขณะมีรถหรือจักรยานเข้ามาใกล้
  • TSR (Traffic Sign Recognition) – จดจำป้ายจราจรอัตโนมัติ
  • HMA (High Beam Assist) – ปรับไฟสูงอัตโนมัติตามสภาพการจราจร

ระบบกล้องและเซนเซอร์รอบคัน

  • 3D 360° Around View Camera พร้อม Transparent Chassis View แสดงภาพรอบรถในรูปแบบสามมิติ และสามารถมอง “ทะลุพื้นรถ” เพื่อดูสิ่งกีดขวางใต้ท้องรถได้
  • 360° Drive Video Recorder – บันทึกภาพรอบคันแบบต่อเนื่อง
  • Parking Sensors หน้า 6 / หลัง 6 จุด – พร้อมระบบเตือนสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ
  • Tire Pressure Monitoring System (TPMS) – ตรวจสอบแรงดันลมยางทุกล้อแบบเรียลไทม์

ระบบควบคุมเสถียรภาพและความมั่นคง (Vehicle Dynamics Control)

  • ESP (Electronic Stability Program) – ช่วยควบคุมทิศทางเมื่อรถเสียการทรงตัว
  • TCS (Traction Control System) – ลดอาการล้อหมุนฟรี
  • HHC (Hill Hold Control) – ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
  • HDC (Hill Descent Control) – ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
  • ROM (Rollover Mitigation) – ป้องกันการพลิกคว่ำเมื่อเข้าโค้งแรง
  • ABS / EBD / BA – ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก กระจายแรงเบรก และเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ

ระบบความปลอดภัยเชิงรับ (Passive Safety)

  • ถุงลม 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า – ด้านข้าง – ม่านนิรภัย)
  • เข็มขัดนิรภัยหน้า–หลังแบบดึงกลับและลดแรงกระแทกอัตโนมัติ (Pre-tensioner & Force-limiter)
  • จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX และ Child Anchor
  • ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่ง
  • ระบบ AVAS (Acoustic Vehicle Alerting System) สร้างเสียงเตือนให้คนเดินถนนขณะรถเคลื่อนที่ด้วยไฟฟ้า

เทคโนโลยีความสะดวกและความปลอดภัยเสริม

  • Intelligent Welcome Light – เปิดไฟต้อนรับอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้รถ
  • Active Sound Enhancement (ASE) – จำลองเสียงเครื่องยนต์ให้สอดคล้องกับความเร็ว
  • Scenario Mode Selection System – โหมดขับขี่เฉพาะสถานการณ์ เช่น Comfort / Sport / Eco
  • Remote Smart Ingress & Outgress (RSIO) – สั่งให้รถขยับเข้า–ออกจากช่องจอดด้วยรีโมต
  • Smart Regenerative Braking System – ปรับแรงเบรกไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อถอนคันเร่ง

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้