ยุคจรวด EV อาจจบลง! จีนออกกฏ ห้ามเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 5 วินาที หลังสตาร์ท
จีนเตรียมออกกฎใหม่ “จำกัดอัตราเร่งหลังสตาร์ท” กระทบ EV พลังแรงทั่วประเทศ กลยุทธ์ด้านความปลอดภัย หรือชะลอการเติบโตของแรงม้าคุ้มค่า?
ยุครถไฟฟ้าได้เปลี่ยนสมการของคำว่า “รถเร็ว” ไปแบบถอนรากถอนโคน จากอดีตที่อัตราเร่งระดับ 0–100 กม./ชม. ต่ำกว่า 3 วินาที คือโลกของซูเปอร์คาร์ราคาแพง วันนี้คุณสามารถซื้อรถซีดานราคาไม่ถึงล้านหยวน หรือแม้แต่ครอสโอเวอร์ครอบครัว แล้วทำเวลาได้แบบเดียวกัน — เพียงกดคันเร่งจนสุด
แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ กลุ่มผู้กำกับดูแลในจีนมองว่าอาจสร้างพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน จึงเกิดร่างกฎมาตรฐานใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมยานยนต์
กฎใหม่ รถทุกคันต้องออกตัวช้า “อย่างน้อย 5 วินาที” ถึง 100 กม./ชม. หลังสตาร์ท
ภายใต้ร่างมาตรฐาน “Technical Specifications for Power-Driven Vehicles Operating on Roads” ได้กำหนดสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “Soft Speed Lock” แบบบังคับในทุกครั้งที่เปิดรถ
ใจความสำคัญของข้อ 10.5.4 คือ
“หลังจากการเปิดระบบไฟหรือสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้ง รถยนต์นั่งต้องอยู่ในสภาวะที่ใช้เวลาเร่ง 0–100 กม./ชม. ไม่ต่ำกว่า 5 วินาที เว้นแต่ผู้ขับเลือกโหมดอื่นด้วยตัวเอง”
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ
- กฎไม่ได้จำกัดความเร็วสูงสุด
- กฎไม่ได้จำกัดมอเตอร์หรือแรงบ้าพลังของรถ
- แต่กำหนดว่า โหมดเริ่มต้น (Default Mode) จะต้อง ช้า
- หากอยากแรง จะต้อง เลือกโหมดเองทุกครั้ง
ทำงานคล้ายโหมด Eco แต่ “บังคับใช้ทุกครั้งที่เปิดรถ”
นี่เป็นการใช้ “ซอฟต์แวร์” ควบคุมพลัง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ ทำให้ผู้ผลิตสามารถอัปเดต OTA ได้ทันทีหากกฎนี้มีผลบังคับใช้
ทำไมรัฐบาลจีนถึงคิดกฎนี้?
1) ความปลอดภัยบนท้องถนน
รถ EV ยุคใหม่ “แรงเกินไป” สำหรับผู้ขับทั่วไป โดยเฉพาะผู้ซื้อกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสแรงบิดแบบทันที (Instant Torque) มาก่อน มีอุบัติเหตุจำนวนมากเกิดจาก
-
เข้าใจผิดว่าเหยียบเบรก แต่เหยียบคันเร่ง
-
เร่งมากเกินไปในที่แคบ
-
แรงบิดมอเตอร์ทำให้รถพุ่งจนคุมไม่อยู่
2) พฤติกรรมขับขี่แบบเสี่ยงในเมือง
ไฟเขียวปุ๊บ ซัดปั๊บ เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยในเมืองจีน ทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการแข่งกันในพื้นที่จำกัด
3) ลดการใช้พลังงาน / ยืดอายุแบตเตอรี่
EV ที่ซัดเต็มแรงทุกครั้งจะสิ้นเปลืองพลังงานและทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น การจำกัดอัตราเร่งหลังสตาร์ท อาจช่วยลด Peak Load ของแบตเตอรี่โดยตรง
4) วินัยการขับขี่
แนวคิดคือ “ให้สมองได้ตั้งตัวก่อน” เหมือนรถสปอร์ตที่ต้องเข้าโหมด Sport+ ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เผลอไปเหยียบแรงแล้วรถพุ่งทันที
รถใดได้รับผลกระทบมากที่สุด? แน่นอนคือ “จรวด EV” ของจีนเอง
กลุ่มรถที่ทำเวลา 0–100 ต่ำกว่า 3 วินาที จะได้รับผลโดยตรง (แต่แค่ตอนเริ่มต้นสตาร์ท)
ตัวอย่าง
- Xiaomi SU7 Ultra – 1.98 วินาที
- Zeekr 001 FR – 2.02 วินาที
- Tesla Model S Plaid – 2.1 วินาที
- BYD Yangwang U9 – 2.36 วินาที
ทั้งหมดจะต้องถูกจำกัดความแรงในโหมดเริ่มต้น แม้จะยังสามารถเลือกโหมดแรงได้เหมือนเดิมก็ตาม
เทียบกับยุโรป คล้าย แต่ไม่เหมือน
ยุโรปกำหนดให้รถต้องมี ระบบเตือนความเร็วเกิน (Speed Warning) แต่ “เตือนเฉย ๆ ไม่ได้จำกัดอัตราเร่งหรือสมรรถนะ” ของจีนเข้มกว่า เพราะ
-
บังคับจำกัดพลังที่ Startup
-
ต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้ง
-
เป็นมาตรฐานระดับประเทศ
นี่สะท้อนความคิดเชิง “ควบคุมเชิงรุก” มากกว่า “เตือนเชิงรับ”
อีกหนึ่งกฎใหม่ รถยาวกว่า 6 เมตร ต้องมีระบบเตือนความเร็วเกิน 100 กม./ชม.
ภายใต้ร่าง “Safety Specifications for Power-Driven Vehicles Operating on Roads” ข้อ 10.5.1 ระบุว่า: “รถยนต์นั่งที่ยาวตั้งแต่ 6 เมตรขึ้นไป ต้องมีระบบเตือนความเร็วเกินด้วยสัญญาณไฟหรือเสียง หากขับเกินความเร็วสูงสุดที่อนุญาต (ไม่เกิน 100 กม./ชม.)”
รถที่ได้รับผลกระทบ?
-
ลิมูซีนดัดแปลง
-
รถฐานล้อยาว (Extended Wheelbase) รุ่นพิเศษ
-
Rolls-Royce Phantom VII EWB → ยาว 6,092 มม. → ต้องติดตั้ง
-
Phantom VIII EWB รุ่นใหม่ → 5,982 มม. → “รอด” แบบหวุดหวิด
SUV / MPV ส่วนใหญ่ไม่ถึง 6 เมตร จึงไม่ได้รับผลกระทบ
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม: มากกว่าที่คิด
1) การตลาดของรถ EV พลังแรงอาจต้องปรับ
จากเดิมที่โชว์ตัวเลข 0–100 สุดโหด ผู้ผลิตอาจต้องเน้น “โหมดแรงเฉพาะการตั้งค่า” แทน
2) เพิ่มงานด้านซอฟต์แวร์ให้ผู้ผลิตทุกราย
แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่ต้องแก้ระบบทั้งประเทศ ซึ่งตรงตามยุค “Software-Defined Vehicle (SDV)” ที่จีนกำลังผลักดัน
3) การแข่งขันด้านอัตราเร่งอาจลดลง
เพราะสุดท้ายลูกค้าต้อง “กดเลือกเอง” ทุกครั้ง รถที่แรงมาก ๆ จึงไม่แตกต่างกับรถแรงปานกลางในโหมดเริ่มต้น
4) ความปลอดภัยโดยรวมอาจดีขึ้นจริง
ลดโอกาสรถพุ่งแบบไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะผู้ขับที่ไม่เชี่ยวชาญ
จีนกำลังจับตาแรงม้าของ EV อย่างใกล้ชิด
จีนเป็นประเทศที่มีจำนวน EV มากที่สุดในโลก การทำให้รถ “แรงขึ้นเรื่อย ๆ ในราคาถูกลงเรื่อย ๆ” อาจกลายเป็นปัญหาความปลอดภัยในเชิงระบบ
กฎใหม่นี้จึงเป็นสัญญาณว่า
-
“ยุคแข่งขันด้านอัตราเร่งอาจกำลังผ่านพ้นไป”
-
และกำลังเข้าสู่ “ยุคควบคุมสมรรถนะเชิงความปลอดภัย”

