ขายรถ 1 คัน ขาดทุน 64 ล้าน! Evergrande Auto สร้างสถิติขาดทุนต่อคันแพงที่สุดในจีน ล่าสุดบริษัทลูกล้มละลายอีก
Evergrande Auto เผาเงินเกือบแสนล้านบาท แต่ผลิตรถออกมาเพียงหลักพันคัน เมื่อ “การสร้างค่ายรถ” กลายเป็นโครงการที่ขาดทุนต่อคันสูงที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
อุตสาหกรรมรถยนต์จีนตลอด 5 ปีที่ผ่านมาแข่งขันกันดุเดือด โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่แต่ละค่ายต่างทุ่มงบวิจัย เทคโนโลยี และกำลังการผลิตมหาศาล เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่ในด้านตรงข้าม…ก็มีเรื่องราวของผู้ที่ “วิ่งไม่ถึงเส้นชัย” เช่น Evergrande Auto (恒大汽车) หนึ่งในกรณีศึกษาที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในจีน
ล่าสุด วันที่ 14 พฤศจิกายน Evergrande Auto ออกประกาศว่า ศาลเขตพัฒนาใหม่เทียนจินปินไห่ ได้รับคำร้องล้มละลายและชำระบัญชีของบริษัทลูก Evergrande NEV (Tianjin) ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักที่ถูกสร้างขึ้นด้วยงบมหาศาล แต่กลับหยุดการผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม 2024
ฐานการผลิตมูลค่า 18,694 ล้านบาทที่หยุดเดิน
บริษัทลูกที่เข้าสู่กระบวนการล้มละลายล่าสุดมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 18,694 ล้านบาท และเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถไฟฟ้าสายหลักของ Evergrande แต่สุดท้ายต้องปิดเงียบเพราะยอดขายต่ำกว่าที่คาดอย่างรุนแรง
และนี่ ไม่ใช่ฐานการผลิตแห่งแรก ที่ล้ม
-
เซี่ยงไฮ้ – เข้ากระบวนการล้มละลาย 1 เม.ย. 2025 ศาลเซี่ยงไฮ้แต่งตั้ง “ผู้จัดการพิเศษ” เข้าดูแลกระบวนการชำระบัญชี
-
กวางโจว – เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ (restructuring) ศาลกวางโจวอนุมัติแผนฟื้นฟูในเดือนมิถุนายน และยุติกระบวนการหลังพบว่าบริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้
เครือ Evergrande Auto ทั้งกลุ่มเริ่มเข้าสู่ภาวะ “ล้มเป็นโดมิโน” เนื่องจากยอดขายไม่เพียงพอจะค้ำต้นทุนการผลิตและเงินกู้ที่ก้อนใหญ่เกินไป
ขายรถได้เพียง 1,429 คัน แต่ขาดทุนระดับ “บริษัทผลิตซูเปอร์คาร์”
ตามรายงานครึ่งปี 2024:
-
ยอดส่งมอบสะสมรวม: 1,429 คัน
-
ขาดทุนสุทธิครึ่งปีแรก 2024: 20,256 ล้านหยวน หรือ 92,350 ล้านบาท
-
ขาดทุนเพิ่มจากปี 2023 ทั้งปี ซึ่งอยู่ที่ 13,380 ล้านหยวน หรือ 61,000 ล้านบาท
ถ้าดูแค่ตัวเลขยอดขาย อาจไม่เห็นภาพ แต่เมื่อนำ “จำนวนรถ” มาหาร จะเห็นความน่าตกใจอย่างแท้จริง
ขาดทุนต่อคัน = 64–65 ล้านบาท
มากกว่าราคา Lamborghini / Ferrari แบบคูณสองหรือสาม!
การคำนวณอย่างง่าย:
- ขาดทุนรวม 92,350 ล้านบาท
- ส่งมอบรถ 1,429 คัน
เฉลี่ย: 14.18 ล้านหยวน/คัน ≈ 64.6 ล้านบาท/คัน ตัวเลขนี้คือ “สายฟ้าฟาด” ในวงการยานยนต์จีน เพราะ:
-
รถของ Evergrande ขายในจีนราคาเพียง 100,000–200,000 หยวน (ประมาณ 455,000–911,000 บาท)
แต่กลับ ขาดทุนต่อคันมากกว่าราคาขายจริง 70–120 เท่า
พูดง่าย ๆ คือ
ขายรถ 1 คัน ขาดทุนเท่ากับซื้อ Lamborghini Urus ได้ 2–3 คัน
นี่อาจเป็นสถิติ “ต้นทุนรถต่อคันแพงที่สุดในจีน” และอาจจะในโลกด้วย
ทำไมถึงขาดทุนหนักขนาดนี้?
- โรงงานลงทุนสูงเกินตัว Evergrande ตั้งเป้าจะเป็น Tesla แห่งจีน สร้างโรงงานใหญ่ระดับหลายหมื่นล้าน แต่ไม่มียอดผลิตเพียงพอให้คุ้มทุน
- เทคโนโลยีในบ้านไม่พร้อม รถรุ่นแรกๆ ใช้ชิ้นส่วนซื้อมาจากซัพพลายเออร์หลายเจ้า เสียค่าต้นทุนสูง แต่ยังไม่สามารถแข่งขันด้านซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มได้
- ภาพลักษณ์แบรนด์ไม่แข็งแรง ผู้ซื้อจีนส่วนใหญ่ “ไม่เชื่อ” ในแบรนด์ Evergrande นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ที่กำลังมีปัญหา
- ขาดกระแสเงินสด – ผลิตได้น้อยมาก ยอดผลิตที่ต่ำ ทำให้ต้นทุนต่อคันพุ่งสูงผิดปกติ เพราะเครื่องจักร คนงาน โรงงาน ต้องใช้เงินเท่าเดิม
สะท้อนอะไรต่อวงการรถจีน?
- ไม่ใช่ทุกค่ายที่ลงสนาม EV จะอยู่รอด แม้ตลาดจะโตเร็ว แต่การแข่งขันก็รุนแรงที่สุดในโลก
- โมเดลธุรกิจ “สร้างใหญ่ก่อน ขายทีหลัง” หมดสมัยแล้ว Tesla ใช้โมเดลนี้สำเร็จเพราะนวัตกรรมสูง แต่ Evergrande ไม่มีเทคโนโลยีหลักของตัวเอง
- รัฐบาลจีนเริ่มชัดเจนขึ้นในการปล่อยให้บริษัทที่บริหารผิดพลาดล้ม สะท้อนสัญญาณ “คัดกรองผู้เล่นที่ยั่งยืน” ในตลาด EV
Evergrande Auto สถานะปัจจุบันล้มละลายยัง ?
- แม้จะมีคำสั่งรับคำร้องล้มละลายของบริษัทย่อย แต่ ยังไม่พบข้อมูลชัดเจนว่าทั้งกลุ่ม Evergrande Auto ได้เข้าสู่กระบวนการ “ล้มละลายอย่างเป็นทางการ” (liquidation) ทุกหน่วยงานหรือไม่
- การดำเนินการชำระบัญชีและจัดทรัพย์สินยังอยู่ในช่วง “กระบวนการ” ซึ่งอาจใช้เวลาอีกมาก และผลลัพธ์ (มูลค่าที่ได้คืนเจ้าหนี้) ยังไม่ชัดเจน
- ใช่ — บริษัทย่อยของ Evergrande Auto ได้เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย/ชำระบัญชี
- แต่ไม่ใช่ — ยังไม่แน่นอนว่า ทั้งบริษัทแม่หรือทุกหน่วยธุรกิจของกลุ่ม Auto ได้ประกาศล้มละลายอย่างเต็มรูปแบบ
- สถานะทางการเงินและการดำเนินงานอยู่ใน “ภาวะเสี่ยงสูง” และถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
บทสรุป เคส Evergrande Auto จะกลายเป็นตำราสอนการลงทุนด้าน EV
Evergrande Auto กำลังกลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แรงที่สุดว่า “เงินอย่างเดียวไม่พอ” ในการสร้างแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่
แม้จะทุ่มเงินมหาศาล แต่ด้วยยอดผลิตเพียงหลักพันคัน และขาดทุนเฉลี่ยมากกว่า 64.6 ล้านบาทต่อคัน ทำให้โครงการนี้กลายเป็นหนึ่งในความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนยุคใหม่

