Lexus LFA Concept เปิดตัวครั้งแรกของโลก ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า BEV สายพันธุ์สปอร์ตยุคใหม่

Lexus LFA Concept เปิดตัวครั้งแรกของโลก ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า BEV สายพันธุ์สปอร์ตยุคใหม่
Lexus เปิดม่านเวทีครั้งใหญ่ด้วยการเผยโฉม Lexus LFA Concept รถสปอร์ตไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) รุ่นต้นแบบ ที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “อนาคตของซูเปอร์คาร์ยุคไฟฟ้า” พร้อมสืบทอดจิตวิญญาณจาก LFA รุ่นเครื่องยนต์ V10 อันลือลั่น แต่ตีความใหม่ให้เข้ากับยุคคาร์บอนนิวทรัลและการขับขี่แห่งอนาคต.
รถต้นแบบคันนี้พัฒนาควบคู่กับ GR GT และ GR GT3 รุ่นแข่งของ Toyota GAZOO Racing ใช้โครงสร้างและหลักการออกแบบร่วมกัน ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า ไม่ได้ทำให้ “อารมณ์สปอร์ต” ของ Lexus ลดลงแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม.
ดีไซน์ภายนอก ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าแห่งอนาคตที่ยังคงเอกลักษณ์ของ LFA
แม้จะเป็นรถต้นแบบ แต่สัดส่วนและเส้นสายของ LFA Concept ถูกออกแบบให้สะท้อนความเป็น “เรือธงสปอร์ตของ Lexus” อย่างแท้จริง ตัวรถมีจมูกด้านหน้าต่ำ, ไฟหน้าทรงเฉียบ, หลังคาลาดลงอย่างสง่างาม และเส้นสันตัวถังกว้าง เตี้ย แบน สไตล์รถซูเปอร์คาร์เต็มรูปแบบ.
ไฟหน้าแบบ LED ลายเฉพาะของ Lexus ยุคใหม่ถูกตีความแบบสปอร์ตสุดขั้ว ขณะที่ช่องดักอากาศและแนวกันชนหน้า-หลังถูกออกแบบให้รองรับงานอากาศพลศาสตร์ระดับสูง เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศ (Downforce) และลดแรงต้านลมในเวลาเดียวกัน.
แม้ Lexus ไม่ได้เปิดเผยอัตราเร่งหรือพละกำลัง แต่เส้นสายและสัดส่วนทั้งหมดบอกชัดเจนว่า LFA Concept ถูกวางไว้ให้กลายเป็นรุ่น “เรือธงด้านสมรรถนะไฟฟ้า (BEV Performance Flagship)” ในอนาคตอันใกล้.
มิติรถสไตล์ซูเปอร์คาร์แท้ เตี้ย แบน กว้าง
| รายการ | ตัวเลข |
|---|---|
| ความยาว | 4,690 มม. |
| ความกว้าง | 2,040 มม. |
| ความสูง | 1,195 มม. |
| ระยะฐานล้อ | 2,725 มม. |
| จำนวนที่นั่ง | 2 ที่นั่ง |
ด้วยความสูงเพียง 1,195 มม. รถคันนี้เตี้ยกว่า Lexus ทุกรุ่นในไลน์อัปปัจจุบัน และใกล้เคียงซูเปอร์คาร์ระดับโลกอย่าง Ferrari หรือ McLaren อย่างสมบูรณ์แบบ.
พัฒนาเคียงข้าง GR GT และ GR GT3 ใช้หลักการออกแบบร่วมกัน
LFA Concept ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นลอย ๆ แต่เป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาร่วมกับรถแข่ง GR GT และ GR GT3 ที่มีบทบาทในสนามแข่งระดับโลก ทำให้รถต้นแบบคันนี้ได้เทคโนโลยีและปรัชญาแบบเดียวกับรถแข่งโดยตรง เช่น
- โครงสร้างอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา แข็งแรงสูง
- จุดศูนย์ถ่วงต่ำมาก เพื่อการทรงตัวดีและควบคุมง่าย
- Aerodynamics ขั้นสูง พัฒนาจากข้อมูลในสนามแข่ง
- การจัดวางมอเตอร์และแบตเตอรี่ใหม่ทั้งหมด สำหรับรถ BEV สมรรถนะสูง
การร่วมพัฒนาแบบนี้ทำให้ LFA Concept ไม่ใช่แค่รถสปอร์ตไฟฟ้า แต่คือ “รถสปอร์ตที่เติบโตมาจากสนามแข่ง” อย่างแท้จริง.
ภายใน Discover Immersion ดื่มด่ำการขับขี่ยิ่งกว่าเดิม
Lexus ตั้งใจสร้างห้องโดยสารให้ผู้ขับ “หายไปในโลกของรถสปอร์ต” ผ่านแนวคิด Discover Immersion ซึ่งเน้นให้การควบคุมทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด.
- พวงมาลัยสไตล์สปอร์ต ออกแบบเพื่อลดการหมุนมือ
- ตำแหน่งเบาะและจุดนั่งขับแบบรถแข่ง ได้แรงบันดาลใจจาก GR GT
- สวิตช์แบบ Blind Touch คลำหาได้โดยไม่ต้องมอง ลดการละสายตา
- ดีไซน์มินิมอลเชิงกล (Mechanical Minimalism)
ทั้งหมดนี้ทำให้ LFA Concept เป็นรถที่ “ขับได้จริง” ไม่ใช่ต้นแบบที่ดูดีแต่ใช้งานไม่ได้ Lexus ต้องการสร้างประสบการณ์ที่ผู้ขับรู้สึกเชื่อมต่อกับรถแบบหนึ่งเดียว (Car-and-Driver Unity).
สืบทอดตำนาน LFA รุ่นเดิม – แต่ก้าวสู่ยุค BEV เต็มรูปแบบ
การนำชื่อ LFA กลับมาอีกครั้งมีความหมายอย่างลึกซึ้ง เพราะ LFA รุ่นเครื่องยนต์ V10 เคยเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ดีที่สุดเท่าที่ Lexus เคยทำมา เสียงเครื่อง V10 ยังเป็นตำนานในใจแฟนทั่วโลก.
แต่ในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้า Lexus เลือกพัฒนา LFA Concept ให้กลายเป็น “ไอคอนใหม่” ของการขับขี่ไฟฟ้าระดับพรีเมียม สร้างสมดุลระหว่าง:
- ดีไซน์สปอร์ตระดับซูเปอร์คาร์
- เทคโนโลยี BEV สมรรถนะสูง
- ความหรูหราตามแบบ Lexus
- แนวคิด Beyond Zero ของ Toyota
Beyond Zero – รถสปอร์ตที่มอบ “คุณค่าเกินกว่าศูนย์มลพิษ”
LFA Concept เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญา Beyond Zero ของ Toyota ซึ่งต้องการพัฒนารถไฟฟ้าให้เป็นมากกว่า “รถปล่อยมลพิษเป็นศูนย์” แต่ต้องเป็น
- รถที่ขับสนุกกว่าเดิม
- ปลอดภัยกว่าเดิม
- สร้างแรงบันดาลใจใหม่ให้วงการรถสปอร์ต
- ยกระดับอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้
นี่คือทิศทางใหม่ของ Lexus ที่ชัดเจน – รถไฟฟ้าต้อง “ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า” ไม่ใช่แค่ประหยัดพลังงาน.
สรุป LFA Concept คือสัญญาณเริ่มต้นของซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า Lexus รุ่นผลิตจริง
แม้ยังไม่ได้ยืนยันวันจำหน่ายจริง แต่ LFA Concept ชัดเจนในหลายประเด็นว่า Lexus พร้อมจะสร้างซูเปอร์คาร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในเร็ว ๆ นี้ เพราะมีองค์ประกอบครบแล้ว:
- ดีไซน์ระดับเรือธง
- เทคโนโลยีจากสนามแข่ง
- มิติแบบซูเปอร์คาร์
- แนวคิดภายในเพื่อประสบการณ์ขับขั้นสูงสุด
- รองรับยุคคาร์บอนนิวทรัล
หากรุ่นผลิตจริงมาในปี 2026–2027 จะเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าที่ทั่วโลกจับตาดูมากที่สุดอย่างแน่นอน และอาจเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Porsche e-Performance, Ferrari EV รุ่นแรก และรถไฟฟ้าสมรรถนะสูงอื่น ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในทศวรรษนี้
