GR GT : ขุมพลัง V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด สานต่อตำนาน 2000GT และ Lexus LFA

GR GT : ขุมพลัง V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด สานต่อตำนาน 2000GT และ Lexus LFA
Spread the love
Advertisement Advertisement

Toyota GR GT ซูเปอร์คาร์ใหม่ ขุมพลัง V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด สานต่อตำนาน 2000GT และ Lexus LFA

การกลับมาของซูเปอร์คาร์เรือธงจาก Toyota ครั้งนี้ ทำให้ชื่อ “GR GT” กลายเป็นจุดสนใจของโลกยานยนต์ทันที ด้วยการผสานระหว่างเทคโนโลยีสุดล้ำ ขุมพลังใหม่ล่าสุด และดีไซน์ที่ให้กลิ่นอายจากสองตำนานอย่าง Toyota 2000GT และ Lexus LFA แต่มีความทันสมัยยิ่งกว่าเดิมด้วยเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ + ไฮบริด ที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ซูเปอร์คาร์ยุคใหม่

แม้ Toyota จะทยอยปล่อยข้อมูลแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สิ่งที่ได้รับการยืนยันแล้วชี้ให้เห็นว่า GR GT คือซูเปอร์คาร์ระดับเรือธงที่แท้จริง ทั้งด้านวิศวกรรม สมรรถนะ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถโลโก้ Toyota

เครื่องยนต์ใหม่พื้นฐาน G20E แบบ Oversquare พร้อมรอบจัดและสมรรถนะสูง

GR GT ใช้พื้นฐานจากตระกูลเครื่องยนต์ G20E รุ่นใหม่ (1.5–2.0 ลิตร) แต่พัฒนาเป็นระดับซูเปอร์คาร์ โดยไม่ใช้สเปกกระบอกสูบ-ช่วงชักของรุ่นเดิม แต่ปรับให้เป็นแบบ Oversquare เพื่อรองรับรอบสูงและการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพกว่า

รายการ G20E 2.0 ลิตร GR GT V8 4.0 ลิตร
กระบอกสูบ (Bore) 80.5 มม. 87.5 มม.
ช่วงชัก (Stroke) 97.6 มม. 83.1 มม.
รูปแบบ Long-Stroke Oversquare รอบจัด

การออกแบบลักษณะนี้ใกล้เคียงกับซูเปอร์คาร์ยุโรป เช่น McLaren M840T ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้ไว รับแรงบูสต์ได้ดี และมีศักยภาพในการทำรอบสูงแบบรถแข่ง

641 แรงม้า / 850 นิวตัน-เมตร ตัวเลขเป้าหมายที่อาจ “ต่ำกว่าของจริง”

Toyota ระบุว่ากำลังรวมระบบไฮบริดอยู่ที่ 641 แรงม้า และแรงบิด  850 นิวตันเมตร ซึ่งหลายสื่อมองว่าเป็นตัวเลขแบบอนุรักษนิยม เพราะ:

  • เครื่อง G20E 4 สูบ เวอร์ชันปกติทำได้ราว 400 แรงม้า
  • GR GT = “G20E × 2 + มอเตอร์ไฟฟ้า”

ซึ่งหมายความว่าเครื่อง V8 กับระบบไฮบริดในเวอร์ชัน GR เต็มพลัง อาจสร้างตัวเลขสมรรถนะได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ

ดีไซน์เครื่องยนต์ Hot-Vee: ตอบสนองรวดเร็วเหมือนซูเปอร์คาร์ยุคใหม่

Toyota ใช้ดีไซน์ “Hot-Vee” ทำให้ท่อไอเสียออกด้านในของตัว V และพุ่งตรงเข้าสู่เทอร์โบแบบทวินเทอร์โบทันที ลดความสูญเสีย ลด Turbo Lag และเพิ่มความไวในการตอบสนอง

ภาพประกอบชี้ว่าระบบเทอร์โบ ไม่ได้มีมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Porsche Panamera Turbo E-Hybrid ทำให้ตอบสนองรูปแบบดิบและเร้าใจมากกว่า

ระบบฉีดเชื้อเพลิง D-4 แบบ Port + Direct Injection

GR GT ใช้หัวฉีดสองตำแหน่ง ได้แก่:

  • Direct Injection – ฉีดเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง
  • Port Injection – ฉีดในท่อไอดีเพื่อประสิทธิภาพรอบต่ำและการลดมลพิษ

ระบบนี้ช่วยให้การเผาไหม้แม่นยำ กลไกเครื่องยนต์สะอาด และได้แรงดึงที่ต่อเนื่องไม่มีสะดุดในทุกช่วงรอบ

ระบบหล่อลื่น Dry-Sump: ใส่ V8 ใต้ฝากระโปรงเตี้ยได้อย่างลงตัว

Dry-Sump คือระบบหล่อลื่นที่ซูเปอร์คาร์ตัวจริงต้องมี เพราะช่วยให้:

  • ตัวเครื่องยนต์เตี้ยลง จึงใส่ใต้ฝากระโปรงที่เตี้ยมากได้
  • รักษาการหล่อลื่นในโค้งแรงๆ ได้ดีกว่า Wet Sump
  • เพิ่มปริมาณน้ำมันเครื่องสำหรับการใช้งานแบบ Extreme

เหมาะสำหรับการใช้งานสนาม หรือการขับแบบ Performance อย่างแท้จริง

ระบบไฮบริดที่ติดตั้งบน Transaxle ด้านหลัง สมดุล 45/55 สไตล์รถแข่ง

เพื่อให้ได้บาลานซ์แบบรถ Mid-Engine ซูเปอร์คาร์ Toyota นำเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Planetary ไปติดตั้งไว้ที่ด้านหลัง พร้อม:

  • Torque Tube คาร์บอนไฟเบอร์ เชื่อมเครื่องยนต์กับเกียร์
  • Wet Clutch Launch ทำงานแทนทอร์กคอนเวอร์เตอร์
  • มอเตอร์ไฮบริดติดตั้งหลังชุดคลัตช์ แบบเจาะจงเพื่อ Performance

ผลลัพธ์คือการกระจายน้ำหนัก หน้า 45% / หลัง 55% สมดุลแบบรถสปอร์ตเครื่องวางกลางที่ตอบสนองโหดแต่แม่นยำ

สรุป Toyota GR GT คือการกลับมาของซูเปอร์คาร์จากญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

GR GT ไม่ได้เป็นแค่รถแรงรุ่นหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการกลับมาของ Toyota บนเวทีซูเปอร์คาร์ระดับโลก หลังจาก LFA หยุดผลิตไปนานหลายปี บทพิสูจน์อยู่ที่เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด เทคโนโลยีเฉพาะทางแบบรถแข่ง และการออกแบบที่ให้ความรู้สึก “JDM Supercar” อย่างเต็มตัว

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ เมื่อ Toyota ปล่อยรายละเอียดเพิ่มเติมแบบหยดต่อหยด

TOYOTA GR GT & GR GT3 สปอร์ตคาร์เรือธงยุคใหม่ เปิดตัวครั้งแรกของโลก  ไฮบริด V8 สืบทอดพลัง 2000GT และ LFA

TOYOTA GR GT & GR GT3 สปอร์ตคาร์เรือธงยุคใหม่ เปิดตัวครั้งแรกของโลก  ไฮบริด V8 สืบทอดพลัง 2000GT และ LFA

TOYOTA GAZOO Racing (TGR) เปิดตัวรถต้นแบบระดับเรือธงใหม่ล่าสุดถึง 2 รุ่น ได้แก่ GR GT และ GR GT3 ในงานระดับโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการรื้อฟื้นจิตวิญญาณของ Toyota 2000GT และ Lexus LFA ให้กลับมามีบทบาทอีกครั้งในยุคสมัยที่เทคโนโลยีผสานกับสมรรถนะขั้นสูง โดยทั้งสองโมเดลถูกออกแบบเพื่อเป็น “รถสปอร์ตแห่งอนาคตของโตโยต้า” พร้อมการเตรียมเข้าสู่สายการผลิตราวปี 2027


สรุปไฮไลท์สำคัญ

  • GR GT = สปอร์ตคาร์ถนน + สนาม ระดับเรือธงเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบ ไฮบริด
  • GR GT3 = รถแข่ง FIA GT3 ที่พัฒนาบนพื้นฐาน GR GT สำหรับทีมลูกค้า (Customer Racing)
  • โครงสร้างน้ำหนักเบา จุดศูนย์ถ่วงต่ำมาก พัฒนาจากประสบการณ์การแข่งขัน WEC & Nürburgring
  • ดีไซน์ “Aerodynamics First” ทำแอโรดายนามิกก่อนแล้วค่อยออกแบบตัวรถ
  • ใช้ Aluminum Body Frame ทั้งคันเป็นครั้งแรกในรถ Toyota

แนวคิดการพัฒนา: สร้างรถสปอร์ตบนพื้นฐานของนักแข่งตัวจริง

ทั้ง GR GT และ GR GT3 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Driver-First โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับ “ความรู้สึกของผู้ขับ” ไม่ใช่แค่ตัวเลขสเปก ทีมวิศวกรของ TGR ทำงานร่วมกับนักแข่งมืออาชีพ ทีม Nürburgring และนักขับทดสอบของ Shimoyama ตั้งแต่ช่วงออกแบบโครงสร้างรถ เพื่อให้รถต้นแบบทั้งสองรุ่นมีบุคลิกแบบเดียวกับรถแข่งระดับโลก

โตโยต้าระบุชัดเจนว่าโปรเจ็กต์นี้เป็นการ “ถ่ายทอดศาสตร์การสร้างรถสปอร์ต” ที่ได้รับจากยุค 2000GT และ LFA ส่งต่อไปยังนักพัฒนารุ่นใหม่ของบริษัท เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้รถสปอร์ตในอนาคตของค่าย


GR GT – สปอร์ตคาร์เรือธง Hybrid V8 ตัวแทนยุคใหม่ของ Toyota

เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ + ไฮบริด

หัวใจของ GR GT คือเครื่องยนต์ใหม่หมดแบบ V8 4.0 ลิตร Twin-Turbo Hybrid ให้พละกำลังระดับเป้าหมายมากกว่า

  • 650 แรงม้า+
  • 850 นิวตันเมตร+

มอเตอร์ไฟฟ้าถูกวางไว้ในทรานส์แอกเซิลด้านหลัง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Wet Start Clutch เพื่อตอบสนองเฉียบคมกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไป ให้ความรู้สึกใกล้เคียงรถแข่ง

แพ็กเกจตัวรถ – จุดศูนย์ถ่วงต่ำที่สุดเท่าที่ Toyota เคยทำ

  • เครื่องยนต์แบบ Dry Sump ช่วยให้วางต่ำกว่าปกติ
  • ตำแหน่งมอเตอร์-แบตเตอรี่-เกียร์ วางไว้กลางรถ
  • อัตราการกระจายน้ำหนัก 45:55 หน้า/หลัง

ทั้งหมดนี้ทำให้ GR GT มีพฤติกรรมคล้ายรถแข่งที่ผู้ขับรู้สึกว่า “รถและคนเป็นหนึ่งเดียวกัน” ทั้งในถนนและในสนาม

โครงสร้างตัวถัง – Aluminum Body Frame ครั้งแรกของ Toyota

ตัวรถถูกสร้างบนเฟรมอะลูมิเนียมเต็มรูปแบบ ใช้แผงภายนอกแบบ Aluminum + CFRP เพื่อลดน้ำหนักแต่ยังคงความแข็งแรงสูง เพิ่มความมั่นใจในการขับความเร็วสูง

แอโรดายนามิก – ออกแบบจากความต้องการของลม ไม่ใช่เส้นสาย

ทีม aero จากรายการแข่งขัน WEC ทำงานร่วมกับทีมดีไซน์ โดยเริ่มจากการสร้างรูปทรงเพื่อประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ก่อน แล้วจึงออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกตามมา แนวคิดนี้รับรองว่าเส้นสายทุกส่วน “มีหน้าที่” ไม่ได้ใส่มาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว

สเปกตัวรถ GR GT (Prototype)

รายการ สเปก
ความยาว 4,820 มม.
ความกว้าง 2,000 มม.
ความสูง 1,195 มม.
ฐานล้อ 2,725 มม.
น้ำหนักเป้าหมาย ไม่เกิน 1,750 กก.
ขนาดยางหน้า 265/35ZR20
ขนาดยางหลัง 325/30ZR20
ความเร็วสูงสุด > 320 กม./ชม.

GR GT3 – รถแข่ง FIA GT3 เพื่อให้ทีมลูกค้าใช้ได้จริง

ในขณะที่ GR GT เป็นเวอร์ชันถนน GR GT3 คือเวอร์ชันสำหรับสนามแข่งขันโดยเฉพาะ ถูกออกแบบให้พร้อมทำ homologation FIA GT3 และเป็นตัวเลือกให้ทีมแข่งทั่วโลกในซีรีส์ GT3 ระดับนานาชาติ

สเปก GR GT3 (Prototype)

รายการ สเปก
ความยาว 4,785 มม.
ความกว้าง 2,050 มม.
ความสูง 1,090 มม.
เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin-Turbo
ระบบส่งกำลัง ขับหลัง (FR)
โครงสร้าง Aluminum Frame + แชร์ชิ้นส่วนกับ GR GT

GR GT3 ถูกจูนให้ “ง่ายต่อการควบคุม” สำหรับทั้งนักแข่งมืออาชีพและ gentleman driver ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้หลักของสนามแข่ง GT3 ทั่วโลก


กระบวนการพัฒนา – ขับจริง ซ่อมจริง และปรับจนกว่าจะสมบูรณ์

TGR ใช้แนวทางพัฒนารถแข่งมาประยุกต์กับรถสปอร์ตโปรดักชัน เช่น

  • ทดสอบด้วย Simulator ก่อนสร้างรถจริง
  • วิ่งทดสอบในสนาม Fuji, Nürburgring และ Shimoyama
  • ขับแบบหนักหน่วงเพื่อหาจุดอ่อน และแก้ไขซ้ำ ๆ

ทั้งหมดนี้สะท้อน “จิตวิญญาณของ GR” ในการสร้างรถที่ตอบสนองดีที่สุดเท่าที่โตโยต้าจะทำได้

สรุป  Toyota กลับมาทวงบัลลังก์สปอร์ตคาร์ระดับโลก

การปรากฏตัวของ GR GT และ GR GT3 เป็นสัญญาณชัดเจนว่า Toyota ต้องการกลับสู่เวทีสปอร์ตคาร์ระดับโลกอย่างจริงจังอีกครั้ง พร้อมนำเสนอเทคโนโลยี Hybrid V8 ที่ผสานความแรงแบบยุคเก่ากับเทคโนโลยีใหม่อย่างลงตัว

ทั้งสองโมเดลนี้ไม่ได้เป็นแค่รถต้นแบบ แต่เป็น “บทเรียนและพันธกิจ” ของโตโยต้าที่จะมอบอนาคตรถสปอร์ตให้คนรุ่นต่อไป พร้อมการเข้าสู่สายการผลิตที่คาดว่าอยู่ราวปี 2027

Advertisement Advertisement

Lexus LFA Concept เปิดตัวครั้งแรกของโลก ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า BEV สายพันธุ์สปอร์ตยุคใหม่

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้