Mercedes benz ปิดคดี “ดีเซลเกต” จ่ายชดเชยโดยรวม 73,000 ล้านบาท

Mercedes benz ปิดคดี “ดีเซลเกต” จ่ายชดเชยโดยรวม 73,000 ล้านบาท
Spread the love
Advertisement Advertisement

Mercedes “ดีเซลเกต” เจอเพิ่ม! กลุ่มอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ยุติคดีด้วยดีล 150 ล้านดอลลาร์ เปิดเงื่อนไขชดเชยลูกค้า 2,000 ดอลลาร์/คัน

สรุปประเด็น: กลุ่มอัยการสูงสุดจากหลายรัฐในสหรัฐฯ (ข้ามพรรค) บรรลุข้อตกลงกับ Mercedes-Benz จากข้อกล่าวหา “ติดตั้งซอฟต์แวร์โกงการทดสอบมลพิษ” ในรถดีเซล โดยดีลนี้มีมูลค่ารวม 149.67 ล้านดอลลาร์ พร้อมโปรแกรมจ่ายเงินให้เจ้าของรถที่เข้ารับการปรับปรุงระบบไอเสียคันละ 2,000 ดอลลาร์ และกำหนดเส้นตายยื่นเคลม 30 กันยายน 2026

อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับบทความนี้: 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 31.15 บาท

ดีลยุติคดี: 149.67 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยเท่าไร?

ตามเงื่อนไขข้อตกลงยอมความ Mercedes จะจ่ายเงินรวม 149,673,750 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อคำนวณตามอัตรา 1 ดอลลาร์ = 31.15 บาท จะเท่ากับประมาณ 4,662,836,313 บาท (ประมาณ 4.66 พันล้านบาท)

การจัดสรรเงินหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 ก้อน:

  • 120,000,000 ดอลลาร์ สำหรับรัฐต่าง ๆ เพื่อใช้ “ป้องกัน ลด และบรรเทามลพิษทางอากาศ” คิดเป็นเงินไทยราว 3,738,000,000 บาท
  • 29,673,750 ดอลลาร์ เป็นค่าปรับที่ “ระงับชั่วคราว” คิดเป็นเงินไทยราว 924,836,313 บาท

หมายเหตุ: ค่าปรับส่วนที่ถูกระงับชั่วคราวนี้ จะถูกผูกกับเงื่อนไขด้านการแก้ไขรถ/ซื้อคืน/นำออกจากตลาด โดยบริษัทจะได้รับ “เครดิต” เมื่อดำเนินการกับรถที่เกี่ยวข้องได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด

แก่นของข้อกล่าวหา: ซอฟต์แวร์ลับลดค่ามลพิษ “เฉพาะตอนทดสอบ”

แกนกลางของคดีคือข้อกล่าวหาว่า Mercedes ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยในรถดีเซลจำนวนมาก เพื่อทำให้ค่าการปล่อยมลพิษ “ดูต่ำลง” ในช่วงทดสอบของหน่วยงานรัฐ แต่ในสภาพการขับขี่จริง รถกลับปล่อยไอเสียเกินมาตรฐานอย่างหนัก โดยมีการอ้างว่าบางกรณีสูงถึง 30–40 เท่าของค่ากฎหมายกำหนด

นอกจากประเด็นทางเทคนิค รัฐต่าง ๆ ยังระบุว่า ผู้บริโภคอาจถูกชักจูงด้วยการสื่อสารการตลาดที่ทำให้เข้าใจว่ารถดีเซลเหล่านี้ “สะอาด” “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” หรือ “ปล่อยมลพิษต่ำ” ทั้งที่ผลใช้งานจริงไม่เป็นไปตามนั้น

โปรแกรมจ่ายเงินลูกค้า: 2,000 ดอลลาร์/คัน เป็นเงินไทยเท่าไร?

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของดีล คือการ “จูงใจให้เจ้าของรถเข้ารับการแก้ไขระบบไอเสียที่ได้รับการรับรอง” โดย Mercedes ต้องเสนอเงินชดเชย 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคัน ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 62,300 บาทต่อคัน

ผู้มีสิทธิ์ต้องยื่นคำร้องภายในวันที่ 30 กันยายน 2026 และผู้ผลิตจะจัดส่งเอกสารชี้แจงรายละเอียดโปรแกรมให้เจ้าของรถทางไปรษณีย์ เพื่ออธิบายขั้นตอน เงื่อนไข และช่องทางเคลมอย่างเป็นทางการ

เครดิต 750 ดอลลาร์/คัน: กลไก “ลดค่าปรับ” หากแก้ไข/ซื้อคืน/นำรถออกจากตลาด

ข้อตกลงยังระบุ “กลไกเครดิต” ที่เชื่อมกับค่าปรับส่วนหนึ่ง โดย Mercedes จะได้รับเครดิต 750 ดอลลาร์ ต่อรถ 1 คัน ที่เข้าเกณฑ์ “ซ่อมแก้ไข” “ซื้อคืน” หรือ “นำออกจากตลาด” ซึ่งหากตีเป็นเงินบาทไทยจะอยู่ที่ประมาณ 23,362.50 บาทต่อคัน

แนวคิดของกลไกนี้คือ ยิ่งบริษัททำให้จำนวนรถที่มีปัญหา “ถูกจัดการ” ได้มากเท่าไร ภาระค่าปรับที่ถูกระงับไว้บางส่วนก็ยิ่งถูกหักล้างตามเกณฑ์มากขึ้นเท่านั้น

ข้อห้ามและเงื่อนไขหลังดีล: ห้ามขาย/เช่าดีเซลที่มีระบบโกง และห้ามโฆษณาเกินจริง

นอกเหนือจากเรื่องเงินชดเชยและค่าปรับ ดีลนี้ยังวาง “กรอบพฤติกรรม” ให้ Mercedes ต้องปฏิบัติตาม เช่น

  • ถูกห้ามขายหรือให้เช่ารถดีเซลที่ติดตั้งอุปกรณ์/ซอฟต์แวร์โกงมลพิษที่ผิดกฎหมาย
  • ถูกห้ามให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสมรรถนะการปล่อยมลพิษ
  • ถูกห้ามกล่าวอ้างว่ารถดีเซล “สะอาด” หรือ “ปล่อยมลพิษต่ำ” หากไม่มีหลักฐานรองรับและพิสูจน์ได้
  • ต้องรายงานความคืบหน้าการซ่อมแก้ไขรถที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ

ในเชิงภาพรวม เงื่อนไขลักษณะนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดช่องว่างระหว่างผลทดสอบในห้องแล็บกับผลใช้งานจริง” และบีบให้การสื่อสารทางการตลาดต้องสะท้อนข้อเท็จจริงเชิงเทคนิคมากขึ้น

รุ่นรถที่ถูกพาดพิง: ครอบคลุมหลายตระกูล รวมถึง Sprinter

ในเอกสารคำสั่งยอมความ มีการระบุรายชื่อรุ่นที่ถูกกล่าวหาว่ามีระบบลักษณะ “defeat device” ครอบคลุมตั้งแต่ซีดานหรูไปจนถึง SUV หลายไลน์อัป และรถตู้เชิงพาณิชย์ โดยตัวอย่างที่ถูกกล่าวถึง ได้แก่

  • E250 (2014–2016)
  • E350 (2011–2013, 2014–2016)
  • GL320 (2009), GL350 (2010–2016)
  • GLE300d (2016), GLE350d (2016)
  • GLK250 (2013–2015)
  • ML250 (2015), ML320 (2009), ML350 (2010–2014)
  • R320 (2009), R350 (2010–2012)
  • S350 (2012–2013)
  • Mercedes/Freightliner Sprinter 4 สูบ (2014–2016)
  • Mercedes/Freightliner Sprinter 6 สูบ (2010–2016)

มุมวิเคราะห์: ทำไม “ดีเซลเกต” ยังเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อแบรนด์

แม้ตลาดรถดีเซลในหลายประเทศจะเริ่มหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงพีค แต่ “ดีเซลเกต” ยังเป็นประเด็นที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อแบรนด์ใน 3 มิติหลัก

  1. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค: เมื่อคำว่า “สะอาด/เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ถูกตั้งคำถาม ผู้บริโภคจะเข้มงวดกับความโปร่งใสทางเทคนิคมากขึ้น
  2. ต้นทุนการปฏิบัติตามกฎ (Compliance Cost): ทั้งค่าปรับ การซื้อคืน การซ่อมแก้ไข และต้นทุนการรายงาน/ตรวจสอบ เพิ่มภาระทางการเงินและทรัพยากรองค์กร
  3. มาตรฐานการสื่อสารการตลาด: การอ้าง “low emissions” หรือ “clean diesel” จะถูกจับตามองหนักขึ้น และต้องมีหลักฐานรองรับแบบตรวจสอบได้

สุดท้ายแล้ว ดีลนี้ไม่ใช่แค่ “จ่ายเงินจบ” แต่คือการกำหนดกรอบที่ทำให้ผู้ผลิตต้องพิสูจน์คำโฆษณาด้านสิ่งแวดล้อมให้ได้จริงทั้งในสนามทดสอบและบนถนน

Advertisement Advertisement

สรุปท้ายบทความ

ข้อตกลงยอมความครั้งนี้ทำให้ Mercedes ต้องจ่ายรวมราว 4.66 พันล้านบาท (ตามอัตรา 31.15 บาท/ดอลลาร์) พร้อมตั้งโปรแกรมจ่าย ประมาณ 62,300 บาท ให้เจ้าของรถที่เข้ารับการแก้ไขระบบไอเสีย และกำหนดเงื่อนไขเชิงกำกับการขาย/การสื่อสารการตลาดที่เข้มขึ้น เพื่อปิดช่องโหว่ “ผลทดสอบสวย แต่ใช้งานจริงไม่ผ่าน” ที่เคยสร้างแรงกระแทกต่ออุตสาหกรรมดีเซลทั่วโลก

ก่อนหน้านี้: Mercedes เคยยอมความคดีดีเซลเกตมาแล้วระดับ “พันล้านดอลลาร์”

ก่อนจะมีข้อตกลงยอมความกับกลุ่มอัยการสูงสุดจากหลายรัฐในครั้งล่าสุด มูลค่า 149.67 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.66 พันล้านบาท)  เคยเผชิญคดีดีเซลเกตในสหรัฐฯ มาแล้ว และต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่กว่านี้หลายเท่า

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ บริษัทได้บรรลุข้อตกลงยอมความกับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Federal Government) เป็นเงินราว 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อคำนวณตามอัตรา 1 ดอลลาร์ = 31.15 บาท จะคิดเป็นเงินไทยประมาณ 68,530 ล้านบาท

ข้อตกลงระดับรัฐบาลกลางดังกล่าว ครอบคลุมทั้ง:

  • ค่าปรับทางแพ่งและทางอาญา
  • การยอมรับเงื่อนไขด้านการกำกับดูแล (Compliance)
  • การดำเนินมาตรการแก้ไขรถดีเซลที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

เมื่อรวมกับดีลล่าสุดกับอัยการรัฐต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า “ต้นทุนของดีเซลเกต” สำหรับ Mercedes ในตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้จบลงที่ข้อตกลงเดียว แต่เป็น กระบวนการยาวหลายระลอก ที่ค่อย ๆ ปิดคดีในแต่ละระดับอำนาจ

ทำไมต้องมีหลายข้อตกลง?

โครงสร้างกฎหมายของสหรัฐฯ เปิดช่องให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐ (States) สามารถดำเนินคดีได้ในประเด็นที่ทับซ้อนกัน เช่น มลพิษทางอากาศ การคุ้มครองผู้บริโภค และการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจผิด ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์อาจต้อง:

  1. ยอมความกับรัฐบาลกลางก่อน
  2. จากนั้นจึงเจรจากับกลุ่มรัฐต่าง ๆ แยกต่างหาก

ดีลล่าสุดมูลค่า 149.67 ล้านดอลลาร์ จึงถูกมองว่าเป็น “การปิดจ๊อบส่วนปลาย” ของคดีดีเซลเกตในระดับรัฐ มากกว่าจะเป็นคดีหลักเหมือนข้อตกลง 2.2 พันล้านดอลลาร์ในอดีต

ภาพรวมตัวเลข: ดีเซลเกต Mercedes ในสหรัฐฯ

  • ดีลรัฐบาลกลาง (ก่อนหน้านี้): ประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์ ≈ 68,530 ล้านบาท
  • ดีลอัยการรัฐ (ล่าสุด): 149.67 ล้านดอลลาร์ ≈ 4,662 ล้านบาท

รวมโดยประมาณ: มากกว่า 73,000 ล้านบาท (คำนวณตามอัตรา 31.15 บาท/ดอลลาร์) ซึ่งยังไม่รวมต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าแก้ไขรถ ค่าเรียกคืน ค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ และผลกระทบด้านภาพลักษณ์แบรนด์ในระยะยาว

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “ดีเซลเกต” ไม่ใช่แค่คดีเดียวจบ แต่เป็นบทเรียนราคาแพงที่ลากยาวหลายปี และยังคงตามหลอกหลอนอุตสาหกรรมรถดีเซลในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ มาจนถึงปัจจุบัน

ดีเซลเกต คืออะไร? จุดเริ่มต้นของคดีอื้อฉาวที่เขย่าอุตสาหกรรมรถยนต์โลก

ดีเซลเกต (Dieselgate) คือชื่อที่ใช้เรียกคดีอื้อฉาวระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้ง ซอฟต์แวร์หรือระบบควบคุมเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการทดสอบการปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะในรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล

แก่นของปัญหาอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า Defeat Device หรือ “อุปกรณ์/ซอฟต์แวร์โกงการทดสอบ” ซึ่งทำให้รถสามารถตรวจจับได้ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมการทดสอบของภาครัฐหรือไม่

Defeat Device ทำงานอย่างไร?

ในระหว่างการทดสอบไอเสียอย่างเป็นทางการ รถที่ติดตั้ง defeat device จะ:

  • เปิดโหมดควบคุมมลพิษเต็มรูปแบบ
  • ลดการปล่อยก๊าซ NOx ให้อยู่ในเกณฑ์กฎหมาย
  • ทำให้ผลทดสอบ “ผ่านมาตรฐาน” บนเอกสาร

แต่เมื่อออกมาขับขี่ในสภาพใช้งานจริงบนท้องถนน ระบบจะ:

  • ลดระดับการควบคุมมลพิษลง
  • กลับไปใช้โหมดที่เน้นสมรรถนะและความประหยัด
  • ส่งผลให้ปล่อยก๊าซ NOx เกินค่ากฎหมายกำหนดอย่างมาก

ในหลายคดี หน่วยงานรัฐระบุว่ารถบางรุ่นสามารถปล่อย NOx สูงกว่าค่ากฎหมายได้ถึง หลายสิบเท่า เมื่อเทียบกับตัวเลขในห้องทดสอบ

ดีเซลเกตผิดตรงไหน?

ดีเซลเกตไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาเชิงกฎหมายและจริยธรรมในหลายมิติ ได้แก่

  1. ละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อม – รถไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่กฎหมายกำหนด
  2. หลอกลวงผู้บริโภค – รถถูกโฆษณาว่า “สะอาด” หรือ “ปล่อยมลพิษต่ำ” ทั้งที่ใช้งานจริงไม่เป็นเช่นนั้น
  3. บิดเบือนการแข่งขัน – ผู้ผลิตที่ปฏิบัติตามกฎหมายต้องแบกรับต้นทุนสูงกว่า

ทำไมต้องเป็นรถดีเซล?

เครื่องยนต์ดีเซลมีจุดเด่นด้านแรงบิดและความประหยัดน้ำมัน แต่มีข้อจำกัดสำคัญคือการควบคุมการปล่อย ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ซึ่งต้องอาศัยระบบซับซ้อน เช่น EGR, SCR และการใช้น้ำยา AdBlue

การควบคุม NOx อย่างถูกกฎหมายมักแลกมากับ:

  • สมรรถนะที่ลดลง
  • อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แย่ลง
  • ต้นทุนการผลิตและบำรุงรักษาที่สูงขึ้น

นี่จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตบางรายเลือกใช้ “ทางลัด” ผ่านซอฟต์แวร์แทนการแก้ปัญหาทางวิศวกรรมอย่างตรงไปตรงมา

ดีเซลเกตกับ Mercedes

ในกรณีของ หน่วยงานรัฐสหรัฐฯ ระบุว่ามีการใช้ระบบควบคุมการปล่อยมลพิษเสริม (AECDs) หลายรูปแบบที่ไม่เปิดเผย ซึ่งทำหน้าที่เสมือน defeat device โดยรถจะ “ผ่านการทดสอบ” แต่ปล่อยมลพิษเกินจริงในสภาพใช้งานจริง

คดีดังกล่าวนำไปสู่การยอมความหลายระลอก ทั้งในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาคลาสสิกของดีเซลเกตยุคหลัง

ผลกระทบระยะยาวของดีเซลเกต

  • มาตรฐานการทดสอบไอเสียเข้มงวดขึ้น (เช่น Real Driving Emissions – RDE)
  • ภาพลักษณ์รถดีเซลเสื่อมถอยในหลายตลาด
  • เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า ไฮบริด และพลังงานทางเลือก
  • ผู้บริโภคตั้งคำถามกับคำโฆษณาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สรุป: ดีเซลเกตไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ซอฟต์แวร์โกง” แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องหันกลับมาทบทวนความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความหมายที่แท้จริงของคำว่า “รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

Carscoop

 

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้