
BYD ประกาศกำไรเติบโตกว่า 400% ในไตรมาสที่ 1 ระหว่างมกราคม – มีนาคม 2023 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีรายรับกว่า 1.2017 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 591,937 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.83% เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว 23.15%
รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบเป็นรายปีมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายรถยนต์ NEV ที่เพิ่มขึ้น BYD กล่าวในรายงาน
กำไรสุทธิของ BYD สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 4.13 พันล้านหยวน หรือประมาณ 20,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 410.89% เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว 43.5%
หลังจากไม่รวมกำไรและขาดทุนที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ กำไรสุทธิของ BYD ในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3.57 พันล้านหยวน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 593.68% เมื่อเทียบเป็นรายปี
BYD ขายรถยนต์พลังงานใหม่ NEV กว่า 552,076 คันในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 92.81% เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ลดลง 19.22% จากสถิติ 683,440 คันในไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว
รถยนต์ NEV ของบริษัทมีทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ โดยขายได้ 547,917 คันและ 4,159 คันในไตรมาสแรกตามลำดับ
BYD หยุดการผลิตและการขายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งหมดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เพื่อมุ่งเน้นสร้างรถยนต์พลังงานใหม่ NEV อย่าง ไฮบริด , ปลั๊กอินไฮบริด และ ไฟฟ้าล้วน
ยอดขายรถยนต์นั่งของจีนในไตรมาสแรกอยู่ที่ 4.27 ล้านคัน ลดลง 13.15% เมื่อเทียบเป็นรายปี และลดลง 24.55% จากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ตามรายงานของสมาคมรถยนต์โดยสารจีน (CPCA)
ยอดขาย BYD ในจีนเดือน มีนาคม 2023 รวม 207.080 คัน
ยอดขาย BYD ในจีนเดือน กุมภาพันธ์ 2023 รวม 193,655 คัน
ยอดขาย BYD ในจีนเดือน มกราคม 2023 รวมกว่า 151,341 คัน
เปิดราคา 364,000 – 443,000 บาทในจีน BYD Seagull 305 – 405 กม./ชาร์จ CLTC