กำไรทะลุประวัติการณ์! GULF กำไร 7,101 ล้านบาท +27% Q2 2568 ในไทย

สรุปผลประกอบการ GULF ไตรมาส 2/2568
-
รายได้รวม 40,617 ลบ. +24% YoY
-
กำไรหลัก (Core Profit) 7,101 ลบ. +27% YoY (สูงสุดเป็นประวัติการณ์)
-
กำไรสุทธิ 63,871 ลบ. (มีกำไรพิเศษจากควบรวม INTUCH 56,120 ลบ.)
-
ปัจจัยบวกหลัก
-
รายได้ธุรกิจพลังงานเพิ่มจาก GPD, HKP, โซลาร์+BESS, และ Jackson Generation (สหรัฐฯ)
-
ส่วนแบ่งกำไร AIS เพิ่ม 41% จาก ARPU สูงขึ้นและผู้ใช้ 5G มากขึ้น
-
-
ปัจจัยกดดัน
-
กำไรจาก GJP และ GMP ลดลงเพราะ Load Factor ต่ำและถูกคิดค่าก๊าซย้อนหลัง
-
กำไรจากโครงการพลังงานลมและ GSRC ลดลง
-
-
EBITDA 13,432 ลบ. +21% YoY
-
ฐานะการเงิน สินทรัพย์รวม 742,205 ลบ., D/E สุทธิ 0.87 เท่า
-
เป้าหมายปี 2568 รายได้โต 25% พร้อม COD โซลาร์+BESS เพิ่ม 597 MW ในครึ่งปีหลัง
-
แผนลงทุน กว่า 1 แสนลบ. ใน 3–5 ปี เน้นพลังงานหมุนเวียน, พลังงานน้ำ, ขยะเป็นพลังงาน และดาต้าเซ็นเตอร์
-
ออกหุ้นกู้ ราว 30,000 ลบ. กันยายน 2568 เพื่อขยายธุรกิจและชำระหนี้
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจพลังงานและส่วนแบ่งกำไรจาก AIS รวมถึงการรับรู้กำไรจากการควบบริษัทกับ INTUCH จำนวน 56,120 ล้านบาท
ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้รวม 40,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จาก 32,629 ล้านบาทในไตรมาส 2/2567 ขณะที่กำไรหลัก (Core Profit) อยู่ที่ 7,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จาก 5,611 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 63,871 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการควบบริษัทกับ INTUCH การเปรียบเทียบผลประกอบการนี้ บริษัทใช้ข้อมูลทางการเงิน Pro Forma ของไตรมาส 2/2567 เนื่องจากการควบบริษัทเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568
กำไรหลักสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7,101 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568
-
ธุรกิจพลังงานเติบโตทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซและพลังงานหมุนเวียน
-
รับรู้กำไรจากโครงการ Gulf Pluak Daeng (GPD) ครบทั้ง 4 หน่วย (2,650 MW) เทียบกับปีก่อนที่รับรู้เพียง 3 หน่วย (1,987.5 MW)
-
รับรู้กำไรจากโครงการ Hin Kong (HKP) จำนวน 2 หน่วย (1,540 MW) เทียบกับปีก่อนที่รับรู้เพียง 1 หน่วย (770 MW)
-
รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Jackson Generation ในสหรัฐฯ 134 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุน 164 ล้านบาทปีก่อน เนื่องจากค่า Capacity Payment พุ่งจาก 29 ดอลลาร์/ MW-Day เป็น 270 ดอลลาร์/ MW-Day เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าในตลาด PJM เพิ่มขึ้น ขณะที่แหล่งไฟฟ้าดั้งเดิมลดลง
-
เริ่มรับรู้กำไรจากโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ฟาร์มพร้อมระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ในประเทศ 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 532 MW ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อธันวาคม 2567
ส่วนที่ลดลงในธุรกิจพลังงาน
-
กลุ่ม GJP มีกำไรหลักลดลง 22% เหลือ 500 ล้านบาท เพราะกำลังการผลิต (Load Factor) ของโครงการ Gulf Nong Saeng (GNS) และ Gulf Uthai (GUT) ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศอ่อนตัว
-
7 SPP ในกลุ่ม GJP และ 12 SPP ในกลุ่ม GMP ได้รับผลกระทบจากการคิดย้อนหลังค่าก๊าซของ PTT ตามนโยบายรัฐบาลควบคุมราคาไฟฟ้าในช่วงวิกฤติพลังงานปลายปี 2566 และการปรับ Ft ลงเร็วกว่าการปรับลดราคาก๊าซ
-
โครงการ Gulf Sriracha (GSRC) มีกำไรลดลงจากการขายไฟให้ กฟผ. ลดลง
-
โครงการพลังงานลม GGC และ BKR2 ในเยอรมนี มีกำไรลดลงเพราะความเร็วลมเฉลี่ยลดลง
ธุรกิจก๊าซ
-
ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD ลดลง 45% เหลือ 208 ล้านบาท เพราะราคาน้ำมันเตาลดลงเร็วกว่าต้นทุนก๊าซ
-
ธุรกิจนำเข้า LNG (GLNG และ HKH) ครึ่งปีแรกนำเข้า 29 ลำ ปริมาณราว 2 ล้านตัน รายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
การลงทุนอื่น
-
รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก AIS 3,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากปีก่อน เพราะ ARPU สูงขึ้น, ผู้ใช้ 5G มากขึ้น, และบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ
-
ได้รับเงินปันผลจาก KBANK 977 ล้านบาท
EBITDA ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 13,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน
สินทรัพย์รวม 742,205 ล้านบาท, หนี้สินรวม 396,105 ล้านบาท, ส่วนของผู้ถือหุ้น 346,100 ล้านบาท อัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน 0.87 เท่า
เป้าหมายและทิศทางธุรกิจ
-
รักษาเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 25%
-
ครึ่งปีหลังเตรียม COD โซลาร์ฟาร์ม+BESS อีก 7 โครงการ (597 MW)
-
กำไรจาก Jackson Generation คาดเพิ่มต่อเนื่อง เพราะค่า Capacity Payment จะปรับเป็น 329 ดอลลาร์/ MW-Day กลางปี 2569
-
สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของบริษัทเกิน 40% ของกำลังผลิตรวมแล้ว มีมากกว่า 10,000 MW ใน 5 ประเทศ
-
แผนลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาทใน 3–5 ปี เน้นโครงการพลังงานหมุนเวียน, พลังงานน้ำ, ขยะเป็นพลังงาน, และดาต้าเซ็นเตอร์
-
เตรียมออกหุ้นกู้ราว 30,000 ล้านบาทในกันยายนเพื่อชำระหนี้และขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ