7 เดือนแรกในไทย GWM ยอดขายโต 96% 8,804 คัน ส่วน TANK 300 ดีเซล ขายไปแล้ว 3,183 คัน

ภาพรวมยอดขาย 7 เดือนแรกปี 2568
-
ยอดรวม: 8,804 คัน
-
เติบโตจากปี 2567: +96% (จาก 4,490 คัน)
-
ปัจจัยสำคัญ: กลยุทธ์ User-Centric + ยกระดับบริการหลังการขาย
-
กลุ่มพลังงานที่จำหน่าย: HEV, PHEV, BEV, ดีเซล
ไฮไลต์รุ่นทำยอดขายเด่น
-
NEW GWM TANK 300 DIESEL
-
เปิดตัวต้นปี 2568
-
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T รุ่นใหม่
-
ยอดสะสม 7 เดือน: 3,183 คัน
-
เดือน ก.ค. 2568: 1,028 คัน (สถิติสูงสุด)
-
-
GWM ORA Good Cat
-
7 เดือน: 3,573 คัน (40% ของยอดรวม)
-
โตจากปีก่อน: +175%
-
-
รุ่นอื่น
-
ORA 07: 645 คัน
-
HAVAL (รวม): 1,103 คัน
-
สัดส่วนยอดขายตามรุ่น (ม.ค.–ก.ค. 2568)
-
ORA: 4,218 คัน (48%)
-
TANK: 3,473 คัน (39%)
-
HAVAL: 1,103 คัน (13%)
กลยุทธ์สำคัญของ GWM
-
User-Centric – รับฟังเสียงผู้ใช้ ปรับสินค้าให้เหมาะกับคนไทย (เช่น ปรับช่วงล่าง, อัปเกรด Coffee OS 3.0, เพิ่มเครื่องยนต์ดีเซลใหม่)
-
บริการหลังการขายเด่น – ติด Top 3 ด้านความพึงพอใจ (2567) จาก Differential
-
GWM SMART Service – บริการรวดเร็ว ครอบคลุม, จัดการอะไหล่มีประสิทธิภาพ, อบรมบุคลากรเข้ม, ขยายศูนย์สีและซ่อมตัวถังมาตรฐาน
GWM (Thailand) ดันยอดขาย 7 เดือนแรกโต 96% สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทย เร่งเดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขายแบบเต็มพิกัด
กรุงเทพฯ 13 สิงหาคม 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด ประกาศความสำเร็จอย่างแข็งแกร่งในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ด้วยยอดขายรวมสูงถึง 8,804 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มียอดขายอยู่ที่ 4,490 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 96% สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยต่อผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์ การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ ‘User-Centric’ ที่มุ่งเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางควบคู่กับการยกระดับบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในประเทศไทยในระยะยาว
ความสำเร็จอันน่าจับตานี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากกระแสตอบรับอันร้อนแรงของ NEW GWM TANK 300 DIESEL รถยนต์ SUV ดีไซน์ทรง Boxy ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งสามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดด้วยดีไซน์ที่แข็งแกร่งมีเอกลักษณ์ สมรรถนะที่ทรงพลัง และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ได้อย่างลงตัวทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง ส่งผลให้ NEW TANK 300 DIESEL ขึ้นแท่นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของ GWM ด้วยยอดขายสะสมในช่วง 7 เดือน (มกราคม – กรกฎาคม 2568) ที่ 3,183 คัน ตอกย้ำคุณภาพและความนิยมอันล้นหลามของคนไทยที่มีต่อรถยนต์คันนี้ การันตีด้วยเสียงของผู้ใช้จริงที่ต่างออกมาแบ่งปันความประทับใจจากการใช้งานรถกันอย่างต่อเนื่อง
สำหรับยอดขายรวม 8,804 คันในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตจากปีก่อนหน้าสูงถึง 96% สะท้อนถึงศักยภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ GWM ในประเทศไทย โดยยอดขายของ GWM ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมาจาก GWM ORA 4,218 คัน (48%), GWM TANK 3,473 คัน (39%), และ GWM HAVAL 1,103 คัน (13%) โดยเจ้าเหมียวไฟฟ้าขวัญใจชาวไทย GWM ORA Good Cat ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดถึง 3,573 คัน หรือคิดเป็น 40% ของยอดขายรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 175% ตามมาด้วย GWM TANK 300 DIESEL 3,183 คัน และเจ้าเหมียวไฟฟ้าสายสปอร์ตซีดาน ORA 07 กับยอดขาย 645 คัน สำหรับ GWM TANK 300 DIESEL ได้รับการตอบรับที่ล้นหลามจากลูกค้าชาวไทย ทำสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคมที่ 1,028 คัน สร้างกระแส TANK FEVER ในกลุ่มเป้าหมายที่ทันสมัยและรักการผจญภัย และกลายมาเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งในเซกเมนต์ SUV-C และ PPV
ความสำเร็จและการเติบโตของ GWM นั้น เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ User-centric หรือการรับฟังเสียงของผู้บริโภคและลูกค้าชาวไทยเพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง โดยผลิตภัณฑ์ที่ GWM เปิดตัวในประเทศไทย ล้วนได้รับการปรับปรุงจากข้อคิดเห็น ความชื่นชอบ และพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทย อาทิ All New HAVAL H6 ที่ได้มีการปรับระบบช่วงล่าง การอัปเกรดระบบปฏิบัติการภายในรถ (UX/UI) ด้วย Coffee OS 3.0 อันล้ำสมัย พร้อม Petal Map ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง หรือแม้แต่การนำเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุดเข้ามาใน NEW GWM TANK 300 DIESEL และ NEW GWM TANK 500 DIESEL ก็เพื่อตอบสนองความชื่นชอบและการใช้งานของคนไทยเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ GMM (Thailand) ยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดสร้างความแตกต่างและคุณค่าในระยะยาวให้กับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อ และถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ GWM อย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุด GWM ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 3 จาก 12 แบรนด์รถยนต์ยอดนิยม ด้านความพึงพอใจของบริการหลังการขายประจำปี 2567 โดย Differential บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระดับประเทศ และเป็นแบรนด์จากประเทศจีนเพียงแบรนด์เดียวที่สามารถขึ้นสู่ระดับ Top 3 ได้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์บริการหลังการขายให้รวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง โดย GWM เน้นการบริการผ่าน GWM SMART Service ที่มอบบริการที่ง่าย สะดวกสบาย ผ่านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย พร้อมการบริการที่ใส่ใจ เชื่อถือได้ และฉับไว ด้วยการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพ การอบรมบุคลากรอย่างเข้มขันทั้งทางภาคทฤษฎีและปฏิบัติ การควบคุมคุณภาพการให้บริการของศูนย์บริการ รวมถึงการขยายโครงการศูนย์สีและซ่อมตัวถังมาตรฐานครบวงจร (GWM Certified Body and Paint) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าไทยอย่างรอบด้านและยกระดับคุณภาพบริการในระยะยาว
เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) เผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “GWM ขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่มอบความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มีต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของเรามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเติบโตถึง 96% ภายในระยะเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น เราเชื่อว่าการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น HEV, PHEV, BEV หรือดีเซล ทำให้เรามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับ GWM และพาร์ทเนอร์ชาวไทย สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างครอบคลุมและครบทุกกลุ่ม นอกจากนี้ เรายังคงเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ ‘User-Centric’ ที่เน้นรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิด และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จริงในทุกมิติเพื่อนำมาพัฒนาในรถยนต์รุ่นถัด ๆ ไปให้เหมาะสมกับพฤติกรรมคนไทยและสภาพท้องถนนประเทศไทยให้มากที่สุด รวมถึงการยกระดับบริการหลังการขายให้รวดเร็ว ครอบคลุม และตรงจุด ผ่านการให้บริการที่มีคุณภาพในศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เราวางแผนที่จะสร้างความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้ผ่านประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นกับกลุ่มลูกค้าเราให้มากยิ่งขึ้น พร้อมก้าวสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดยานยนต์ไทย”