Advertisement

Advertisement

GWM เปิดตัวแพลตฟอร์มไฟฟ้า Smart Wire-Controlled Chassis พร้อมรองรับ L4

GWM เปิดตัวแพลตฟอร์มไฟฟ้า Smart Wire-Controlled Chassis พร้อมรองรับ L4

Advertisement

Advertisement

Great Wall Motors เผยข้อมูล Smart Wire-Controlled Chassis ช่วยเพิ่มระยะแบตเตอรี่ 20% ระยะเบรกลดลง 4.8m

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม Great Wall Motors ได้ประกาศข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับแชสซี Smart Wire-Controlled Chassis ใหม่รองรับเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้ระบบขับขี่แบบอัตโนมัติระดับ L4

ในแง่ของประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้รถเพิ่มเวลาตอบสนองการเบรกจาก 430 มิลลิวินาทีเป็น 80 มิลลิวินาที ความแม่นยำในการควบคุมพวงมาลัยจาก 5 บาร์เป็น 0.75 บาร์ และอัตราการฟื้นตัวของเบรกเร็วขึ้น 20% นอกจากนี้ยังช่วยลดการสั่นสะเทือนของพวงมาลัยและแป้นเหยียบ เพื่อให้ NVH มีประสิทธิภาพในรถดีขึ้น

มีรายงานว่าเทคโนโลยีแชสซีที่ควบคุมด้วยระบบอัจฉริยะนี้จะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในปี 2566

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ICU 3.0 แพลตฟอร์มประมวลผลการขับขี่อัตโนมัติรุ่นที่สาม ด้วยความสามารถในการคำนวณ 360TOPS และ 1440TOPS ในอนาคต ใช้ชิป Qualcomm 7nm การใช้พลังงานโดยทั่วไปคือ 5.5TOPs/w

พร้อมกล้อง 14 ตัว เรดาร์ 8 คลื่นสัญญาณมิลลิเมตร และ Lidar 6 ตัว จับภาพรอบทิศทาง 360 องศา แบบ front-fusion

ในปี พ.ศ. 2565 จะมีเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าการขับขี่อัตโนมัติระดับ L4

Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
  • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
  • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
  • ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
  • ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City

Min.news/

Advertisement

Advertisement

ใส่ความเห็น

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้