ทรัมป์อยากให้แรงงานฮุนไดอยู่ต่อ แต่โซลยืนยันส่งกลับบ้านทันที หลัง ICE สหรัฐฯ บุกจับกลางโรงงาน

แรงงานเกาหลีใต้ถูกกวาดจับในสหรัฐฯ : วิกฤติการทูตใหม่กระทบการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์
เหตุการณ์ที่จุดประกายความตึงเครียด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ (ICE) ได้บุกตรวจโรงงานร่วมทุนระหว่าง Hyundai Motor และ LG Energy Solution ในรัฐจอร์เจีย สถานที่ที่กำลังจะกลายเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก โดยมีการควบคุมตัวแรงงานราว 475 คน
ในจำนวนนี้กว่า 300 คนเป็นแรงงานฝีมือชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกส่งมาช่วยติดตั้งเครื่องจักรและระบบการผลิต แต่ปัญหาคือแรงงานเหล่านี้หลายคนเข้าประเทศด้วย วีซ่าธุรกิจระยะสั้น (B1) หรือโครงการยกเว้นวีซ่า ESTA ไม่ใช่วีซ่าทำงานอย่าง H-1B, L1 หรือ E2 ทำให้ถูกมองว่าเป็น “แรงงานผิดกฎหมาย” ทันที
ทรัมป์ vs. โซล: ความเห็นที่ไม่ตรงกัน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นว่าอยากให้แรงงานเหล่านี้อยู่ต่อ เพื่อถ่ายทอดทักษะและฝึกอบรมแรงงานอเมริกัน แต่รัฐบาลเกาหลีใต้โดย รัฐมนตรีต่างประเทศ โช ฮยอน และ ประธานาธิบดี อี แจ มยอง ยืนยันชัดว่า พวกเขาควรกลับบ้านก่อน แล้วค่อยหารือกันใหม่ว่าจะส่งกลับมาได้หรือไม่
สุดท้าย แรงงาน 330 คนถูกส่งโดยรถบัสไปยังแอตแลนตา และขึ้นเครื่องเช่าเหมาลำกลับเกาหลีใต้ พร้อมคำมั่นว่าจะไม่ถูกใส่กุญแจมือระหว่างการเดินทาง
ปัญหาวีซ่า: คอขวดที่ไม่มีทางออกง่าย
บริษัทข้ามชาติโดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ มักต้องส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้ามาติดตั้งเครื่องจักรหรือเดินสายการผลิตในระยะเริ่มต้น แต่การขอวีซ่าทำงานอย่างเป็นทางการนั้น ใช้เวลาหลายเดือน และไม่สอดคล้องกับความเร่งด่วนของอุตสาหกรรม ส่งผลให้หลายบริษัทเลือกใช้ B1 business visa หรือ ESTA ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำงานจริงๆ
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่กับ Hyundai–LG เท่านั้น แต่เป็น โครงสร้างระบบการตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของการลงทุนด้านอุตสาหกรรมยุคใหม่
เสียงสะท้อนจากโซล: ความกังวลเรื่องการลงทุน
ประธานาธิบดี อี แจ มยอง กล่าวชัดว่า เหตุการณ์นี้อาจทำให้บริษัทเกาหลีใต้ลังเลที่จะลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่า “แรงงานที่จำเป็นต่อการตั้งโรงงานอาจถูกจับกุม”
“เราต้องมีผู้จัดการและวิศวกรไปติดตั้งเครื่องจักร ไม่ใช่การทำงานระยะยาว แต่ถ้ายังถูกมองว่าเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ก็อาจทำให้บริษัทสับสนว่าจะลงทุนเพิ่มดีหรือไม่”
การกล่าวเช่นนี้คือการส่ง สัญญาณเชิงการเมืองและการค้า ว่า เกาหลีใต้อาจหันไปขยายฐานการผลิตในประเทศอื่น เช่น เม็กซิโก หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แทนการเร่งลงทุนในสหรัฐฯ
ผลกระทบเชิงนโยบายและอุตสาหกรรม
-
ความเชื่อมั่นการลงทุนสั่นคลอน – สหรัฐฯ พยายามดึงดูดการลงทุนด้าน EV และแบตเตอรี่จากเกาหลีใต้ แต่เหตุการณ์นี้อาจทำให้นักลงทุนมองว่า “กฎเกณฑ์ไม่แน่นอน”
-
ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน – หากแรงงานผู้เชี่ยวชาญถูกจำกัด โรงงานใหม่อาจล่าช้า ส่งผลต่อซัพพลายเชนยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ
-
แรงกดดันทางการเมือง – ฝ่ายบริหารของทรัมป์ต้องหาสมดุลระหว่าง “การปกป้องแรงงานอเมริกัน” กับ “การรักษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ”
-
ความสัมพันธ์ทวิภาคี – เกาหลีใต้อาจใช้ประเด็นนี้เป็นแต้มต่อในการเจรจาทางการค้าและความมั่นคงกับสหรัฐฯ
บทสรุป
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาวีซ่าหรือการบุกตรวจแรงงาน แต่เป็น จุดเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ ว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันในการสร้างสมดุลระหว่าง “อธิปไตยด้านแรงงาน” และ “การเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมโลก”
หากไม่หาทางออกเชิงโครงสร้าง เช่น การออกวีซ่าพิเศษสำหรับ “แรงงานติดตั้งและตั้งสายการผลิต” บริษัทต่างชาติอาจเลือกทางอื่น และสหรัฐฯ อาจสูญเสียโอกาสในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม EV ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเวทีโลก