ฟอร์ด ยืนยัน Ranger Super Duty ขายไทยปี 2568 พร้อม 2 รุ่นย่อยให้เลือก ลากจูงสูงสุด 4,500 กก.


Photo: James Lipman / jameslipman.com
ฟอร์ดยืนยันเปิดตัว “Ranger Super Duty” ในไทยปี 2569 – เติมเต็มช่องว่างรถกระบะภารกิจหนัก
กรุงเทพฯ, 21 พฤศจิกายน 2568 – ฟอร์ด ประเทศไทย ประกาศข่าวใหญ่ที่เขย่าวงการรถกระบะไทยแบบเต็มแรง ด้วยการยืนยันเปิดตัว Ford Ranger Super Duty ในปี 2569 พร้อม 2 ตัวเลือกหลัก ได้แก่
- รุ่นดับเบิ้ลแค็บ (Double Cab)
- รุ่นซิงเกิ้ลแค็บ แชสซี (Single Cab Chassis)
ถือเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดนำ “รถกระบะภารกิจหนัก” (Heavy Duty Pickup) มาลุยตลาดไทยอย่างเป็นทางการ เติมเต็มช่องว่างระหว่าง รถกระบะ 1 ตันทั่วไป และ รถบรรทุกเล็กสำหรับงานหนัก ที่หลายครั้งใหญ่เกินความจำเป็น
จุดขายหลักของ Ford Ranger Super Duty
สมรรถนะระดับ Heavy Duty จากโรงงาน
ฟอร์ดเผยว่ารถรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนักจริงจัง ตั้งแต่ลุยงานก่อสร้าง ลากจูงหนัก ไปจนถึงสายออฟโรดระดับฮาร์ดคอร์ พร้อมตัวเลขสำคัญที่โดดเด่นกว่าใครในเซ็กเมนต์ ได้แก่
-
ลากจูงสูงสุด 4,500 กก.*
-
น้ำหนักบรรทุก (GVM) สูงสุด 4,500 กก.
-
น้ำหนักรวมลากจูง–บรรทุก (GCM) มากถึง 8,000 กก.
พร้อมช่วงล่างใหม่ที่เสริมความแข็งแรงขึ้นอีกขั้น เพื่อรองรับงานสมบุกสมบันอย่างแท้จริง
หมายเหตุ: ตัวเลขสมรรถนะขึ้นกับสเปกไทย ซึ่งฟอร์ดจะประกาศอีกครั้งใกล้เปิดตัวจริง
Advertisement Advertisement
ทำไมฟอร์ดต้องสร้าง “Super Duty สำหรับไทย”?
นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ฟอร์ดเห็น “ช่องว่าง” ที่ยังไม่มีใครตอบโจทย์ได้ นั่นคือ ลูกค้าที่ต้องการรถกระบะสมรรถนะสูงกว่า 1-ton pickup ทั่วไป แต่ไม่อยากใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่
กลุ่มนี้รวมถึง:
-
ผู้ประกอบการงานหนัก (เหมือง / ก่อสร้าง / เครื่องจักร)
-
ธุรกิจที่ต้องลากจูงหนัก (รถพ่วง / เครื่องปั่นไฟ / รถตู้คอนเทนเนอร์เล็ก)
-
ผู้ใช้สายออฟโรดที่ต้องการรถลุยโหดตั้งแต่ออกจากโรงงาน
-
ลูกค้าทำงานนอกเมือง ขึ้นเขา ลงห้วย ต้องการความอึดทนทาน
Super Duty จึงถูกวางตำแหน่งให้เป็น “รถพร้อมลุย 100% จากโรงงาน” ไม่ต้องแต่งเพิ่มให้เสียเวลา เสียเงิน หรือเสียความปลอดภัย
พัฒนาโดยทีมวิศวกรฟอร์ดออสเตรเลีย ทดสอบกับผู้ใช้จริงทั่วโลก
ฟอร์ดระบุว่า ทีมวิศวกรในออสเตรเลียใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมง ลงพื้นที่กับผู้ใช้จริงในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อเก็บความต้องการลึก ๆ ของผู้ใช้รถกระบะในชีวิตจริง เช่น:
-
ต้องลากหนัก–ลุยหนักจริงจัง
-
ต้องการความอึดทนทานสูงสุด
-
ใช้เป็นรถทำงานช่วงกลางวัน และรถลุยช่วงวันหยุด
-
ต้องการรถที่ไม่ต้องแต่งเพิ่มแต่พร้อมลุยทันที
ทำให้ Ranger Super Duty ถูกสร้างขึ้นให้เป็นมากกว่าแค่รถกระบะ แต่เป็น เครื่องมือทำงาน + รถลุยผจญภัย ในคันเดียว
ผลิตในไทย ส่งออกทั่วโลก
Ranger Super Duty จะประกอบที่ โรงงาน AutoAlliance (AAT) จังหวัดระยอง โรงงานระดับโลกที่ฟอร์ดใช้ผลิตรถเพื่อจำหน่ายในไทยและหลายประเทศทั่วโลก เป็นข้อได้เปรียบใหญ่ที่ทำให้:
-
สเปกไทยได้คุณภาพระดับสากล
-
ชิ้นส่วนและบริการหลังการขายพร้อมรองรับ
-
ราคาน่าจะทำได้คุ้มกว่าเมื่อเทียบกับการนำเข้าทั้งคัน (ยังไม่ประกาศราคา)
สรุปภาพรวม Ranger Super Duty จะมาทำอะไรในตลาดไทย?
- เติมเต็มช่องว่างระหว่าง Ranger ปกติ กับรถบรรทุกเล็ก
- ตอบโจทย์ “งานหนักพิเศษ” ที่รถกระบะทั่วไปทำได้ไม่สุด
- เป็นรถลุยสุดโหดจากโรงงาน ไม่ต้องแต่งเพิ่ม
- เหมาะกับผู้ประกอบการ, ธุรกิจก่อสร้าง–เหมือง, สายออฟโรดจริงจัง
- จะเป็นโมเดลสำคัญในการยกระดับภาพลักษณ์ฟอร์ดในไทย
กำหนดการเปิดตัวและรายละเอียดสเปกไทย
-
เปิดตัวปี 2569
-
ฟอร์ดจะเผยสเปกไทยอย่างละเอียด (เครื่องยนต์ / เกียร์ / ช่วงล่าง /อุปกรณ์ต่าง ๆ) ใกล้วันเปิดตัว
-
สามารถติดตามผ่านช่องทางของฟอร์ด ประเทศไทย เช่น
Facebook, YouTube, TikTok และ LINE @FordThailand
Ford Ranger Super Duty สุดยอดกระบะพันธุ์แกร่งที่ไม่ได้มาเล่นๆ
Ford Australia ได้เปิดตัวรถบรรทุก Ranger Super Duty Cab-Chassis รุ่น ปี 2025 ใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการโดยเปิดเผยราคาและข้อมูลจำเพาะโดยละเอียดของรถบรรทุกขนาดกลางที่บริษัทเรียกว่าเป็นรถบรรทุกที่มีความสามารถมากที่สุดเท่าที่มีมา
- Single Cab-Chassis $82,990 หรือประมาณ 1.74 ล้านบาท
- Super Cab-Chassis $86,490 หรือประมาณ 1.81 ล้านบาท
- Double Cab-Chassis $89,990 หรือประมาณ 1.89 ล้านบาท
Andrew Birkic ซีอีโอของ Ford Australia กล่าวว่า “รถบรรทุกรุ่นนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการลากจูงอุปกรณ์หนักหรือการเดินทางไปทำงานในพื้นที่ห่างไกล Ranger Super Duty ก็ตอบโจทย์ได้” ด้วยความทนทานและสมรรถนะที่เป็นหัวใจสำคัญ รุ่นใหม่นี้จึงสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มรถบรรทุกขนาดกลาง
อย่าเข้าใจง่ายๆว่า Ranger Super Duty คือ Ranger ที่ลากได้ 4.5 ตัน …แต่ความจริงแล้ว มันมากกว่านั้นเยอะ! เพราะ Ford ไม่ได้แค่เพิ่มพลังลากเท่านั้น แต่พัฒนายานพาหนะสำหรับสายงานหนักโดยเฉพาะ ทั้งขนของหนัก ลุยโหด และยังคง “บรรทุกได้จริง
ฟอร์ดประกาศเสริมทัพรถกระบะอย่างเป็นทางการ ด้วยการเผยโฉม ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้’ ครั้งแรกของโลก ในงานฉลองครบรอบ 100 ปี ฟอร์ด ออสเตรเลีย ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย นับเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดได้นำชื่อ ‘ซูเปอร์ ดิวตี้’ มาใช้กับรถกระบะนอกเหนือจากตระกูล F-Series อันโด่งดังในสหรัฐอเมริกา
ฟอร์ดประกาศแผนเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้ รุ่นใหม่ล่าสุดในประเทศไทย พร้อมทำการตลาดในปี 2569 และจะเปิดสายการผลิตที่โรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอเอที ที่จังหวัดระยอง เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกทั่วโลก
ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้ ได้รับการพัฒนาขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอย่างรอบด้าน เพื่อเติมเต็มความต้องการในตลาดรถกระบะที่มีสมรรถนะสูงพร้อมลุยภารกิจหนักได้อย่างแท้จริง
ด้วยการออกแบบที่สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้ มาพร้อมสมรรถนะที่โดดเด่นจากโรงงาน ทั้งความสามารถในการลากจูงและบรรทุกที่เหนือชั้น ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มนักเดินทางสายลุย ที่ต้องการรถที่มีสมรรถนะสูง รวมถึงผู้ประกอบการหรือลูกค้าองค์กรที่ต้องการรถสำหรับภารกิจหนัก ซึ่งรถกระบะทั่วไปอาจไม่สามารถรองรับได้
- รถรุ่นนี้จะผลิตในโรงงาน AutoAlliance Thailand (AAT) ในประเทศไทย นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard Industrial Estate) เลขที่ 49 หมู่ 4 อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง สำหรับประเทศไทยเปิดตัวพร้อมจำหน่ายปี 2026
3 คุณสมบัติหลักที่ไม่มีใครให้ครบแบบนี้
-
ลากจูงได้ 4.5 ตัน
-
ลุยออฟโรดแบบสุดทาง
-
บรรทุกน้ำหนักได้จริง แม้จะลากเต็มกำลัง
ก่อนหน้านี้ ฝ่ายงานภาคสนามอย่างเหมือง ป่าไม้ หรือหน่วยดับไฟป่า ต้อง “สั่งดัดแปลงรถเอง” กับหลายเจ้าพร้อมกัน ทำให้ต้นทุนสูง ซ่อมบำรุงยาก Ford จึงตัดสินใจ “รวมร่างให้หมด” ให้ใช้จบในคันเดียว
ไม่ได้ทำมาเพื่อข้าราชการเท่านั้น!
Ford คาดว่า สาย Overlanding / Adventure / ขาลุยจริงจัง จะถูกใจด้วย เพราะมันไม่แย่งซีน Raptor หรือ F-150
เรามีโอกาสดูคันต้นแบบที่ Broadmeadows แม้ยังไม่มีตัวเลขแรงม้าหรือราคาชัดเจน แต่บอกเลย… มันเท่มาก
จุดเด่นด้านภายนอก
- ซุ้มล้อทรงเหลี่ยม ดุดัน ไม่เหมือน Ranger ปกติ
- ยาง All-terrain ขนาด 33 นิ้ว ล้อ 8 รู 18 นิ้ว
- ใส่ snorkel มาจากโรงงาน (ลุยน้ำได้ลึกถึง 850 มม.)
- กันชนเหล็กหน้า + ขอเกี่ยวกู้ภัยหน้า/หลัง
- กระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมตรา “Super Duty”
- บันไดข้างเหล็กแบบพิเศษ + บังโคลนแบบขันน็อต
จุดเด่นด้านวิศวกรรม
-
GVM 4500 กก. | GCM 8000 กก.
-
ลากเต็ม 4.5 ตันได้ พร้อมบรรทุกอีก 1 ตัน
-
ถังน้ำมันใหญ่ 130 ลิตร
-
ช่วงล่างใหม่ ยกสูงกว่าปกติ + เหล็กกันกระแทกใต้ท้อง
-
Diff Lock หน้า/หลัง + Diff หลังแบบ Jumbo
-
มีระบบชั่งน้ำหนักบนรถ และระบบ Smart Hitch บอกน้ำหนักกดหัวลาก
รายละเอียดเครื่องยนต์ดีเซล V6 Power Stroke 3.0 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4WD ขั้นสูง
หัวใจหลักของรุ่นนี้คือ เครื่องยนต์ดีเซล V6 สูบวี 60 องศา ขนาด 3.0 ลิตร (2,993 ซีซี) ใช้โครงสร้างแบบ DOHC 24 วาล์ว ออกแบบเพื่อให้รอบมาไว ตอบสนองหนักแน่น และให้การทำงานเงียบสมูทกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบทั่วไป
- ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก: 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร ⇒ เป็นเครื่องแบบ “ช่วงชักยาว (Long Stroke)” ช่วยเพิ่มแรงบิดรอบต่ำ หนักแน่น เหมาะกับงานลาก งานบรรทุก และออฟโรด
- ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection Common-rail ความแม่นยำสูง
- อัตราส่วนกำลังอัด 16.0 : 1 เหมาะแก่การสร้างแรงบิดสูงพร้อมประหยัดเชื้อเพลิง
- ลำดับการจุดระเบิด: 1-4-2-5-3-6 ช่วยให้เครื่องเดินเรียบ ลดแรงสั่นสะเทือน
- ติดตั้ง Turbocharger (เทอร์โบ) ให้บูสต์จัดเต็ม เพิ่มแรงดึงตั้งแต่รอบต่ำแบบต่อเนื่องเหมาะสำหรับทั้งถนนเรียบและทางวิบาก
- กำลังสูงสุด: 184 kW / 250 PS ที่ 3,250 รอบ/นาที
- แรงบิดสูงสุด: 600 นิวตันเมตร ที่ช่วง 1,750 – 2,250 รอบ/นาที
- ช่วงแรงบิดที่กว้างทำให้รถ “ดึงติดหลัง” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขึ้นทางชัน ลากพ่วง หรือขับบนเส้นทางทุรกันดาร
- จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ (10AT) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเนียนและต่อกำลังได้เหมาะสมทุกรอบเครื่อง
- อัตราทดถี่ ทำให้การไล่เกียร์สมูท
- รอบเครื่องคงที่ ประหยัดเชื้อเพลิงและเงียบกว่าเกียร์น้อยจังหวะ
- มาพร้อม ระบบ 4A (Full-time 4WD) ที่เลือกใช้งานได้ทั้งบนถนนปกติและออฟโรด ต่างจากระบบ Part-time ที่ใช้บนถนนลื่นไม่ได้
- Active Centre Differential ควบคุมการกระจายแรงบิดหน้า–หลังแบบอัตโนมัติ เพิ่มการเกาะถนนทุกสภาพผิว
- Rear Diff Lock (ล็อกเฟืองท้าย) ช่วยให้ล้อซ้าย–ขวาหลังหมุนพร้อมกัน เพื่อผ่านโคลน หินลอย หรือหลุมลึกได้มั่นใจยิ่งขึ้น
ตัวเลขน้ำหนักบรรทุกสร้างความประทับใจในทุกรุ่น
- Single Cab-Chassis: Up to 1,982kg
- Super Cab-Chassis: Up to 1,896kg
- Double Cab-Chassis: Up to 1,825kg
น้ำหนักรวมเพลาที่สูงขึ้นถึง 1,900 กก. ที่ด้านหน้าและ 2,800 กก. ที่ด้านหลังช่วยสนับสนุนตัวเลขเหล่านี้ ในขณะที่ระบบระบายความร้อนที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 25% ช่วยให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอภายใต้ภาระงาน
ในด้านความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด ทุกรุ่นจะมีระยะห่างจากพื้นเพิ่มขึ้น (สูงสุด 299 มม.) เส้นทางที่กว้างขึ้น (1,710 มม.) และความสามารถในการลุยน้ำได้ลึก 850 มม. ซึ่งถือเป็นระดับชั้นนำในคลาส
เทคโนโลยีและอุปกรณ์เสริม
- ระบบช่วยจอด, กล้อง 360°, เตือนจุดอับแบบลากพ่วง
- ห้องโดยสารพื้นไวนิล (มีแพ็คหรูให้เลือกสำหรับลูกค้าทั่วไป)
- มีสวิตช์เสริมในห้องโดยสาร
- สามารถติดตั้ง วินซ์ 12,000 กก. และกันชน ARB
สีตัวถัง
- Arctic White
- Seismic Tan
- Traction Green





