เปิดขายญี่ปุ่น 1.02 – 1.28 ล้านบาท TOYOTA bZ4X ไมเนอร์เช้นจ์ 544 – 746 กม./ชาร์จ WLTC

เปิดขายญี่ปุ่น 1.02 – 1.28 ล้านบาท TOYOTA bZ4X ไมเนอร์เช้นจ์ 544 – 746 กม./ชาร์จ WLTC
Spread the love
Advertisement Advertisement

วันที่ 9 ตุลาคม 2025 TOYOTA ประเทศญี่ปุ่น ประกาศราคาอย่างเป็นทางการสำหรับ TOYOTA bZ4X ไมเนอร์เ้ชนจ์รุ่น FWD Z : 5,500,000 เยน หรือประมาณ 1.17 ล้านบาท รุ่น G FWD : 4,800,000 เยน หรือ 1.02 ล้านบาท รุ่น AWD Z : 6,000,000 เยน หรือ 1.28 ล้านบาท

  • ยังไม่รวมเงินอุดหนุน หากสมมติว่าเงินอุดหนุนปัจจุบันอยู่ที่ 900,000 เยน

ราคาหลังลด 900,000 เยน

รุ่น ราคา (เยน) ราคา (บาทไทยโดยประมาณ)
FWD Z 4,600,000 เยน 4,600,000 × 0.21 = 966,000 บาท
G FWD 3,900,000 เยน 3,900,000 × 0.21 = 819,000 บาท
AWD Z 5,100,000 เยน 5,100,000 × 0.21 = 1,071,000 บาท

TOYOTA bZ4X รุ่นใหม่: การอัปเกรดครั้งใหญ่ เพิ่มขีดความสามารถและความสะดวกสบาย

  • ขยายตัวเลือกแบตเตอรี่: ลูกค้าสามารถเลือกแบตเตอรี่ขนาด 57.7 kWh หรือ 71.4 kWh (ความจุรวม)
  • เพิ่มระบบปรับสภาพแบตเตอรี่: ปรับอุณหภูมิแบตเตอรี่เพื่อให้การชาร์จมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ที่ชาร์จ AC แบบใหม่: รองรับกำลังไฟ 22 kW สำหรับการชาร์จเร็วขึ้น
  • ดีไซน์ภายนอกใหม่: ปรับให้ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
  • ห้องโดยสารดีไซน์ใหม่: แผงคอนโซลกลางและหน้าปัดแบบใหม่ พร้อมหน้าจอมัลติมีเดีย 14 นิ้ว

การปรับปรุงครั้งใหญ่ของ Toyota bZ4X

หลังจากเปิดตัวในปี 2022 เพื่อเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของโตโยต้า bZ4X กำลังได้รับการอัปเกรดครั้งสำคัญ ทั้งด้านสมรรถนะ เทคโนโลยี และความสะดวกสบาย โดยตั้งเป้าให้เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้นในกลุ่ม SUV ไฟฟ้า

bZ4X ถูกออกแบบให้เป็น SUV ที่แท้จริง พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่บนเส้นทางขรุขระ โดยอาศัยเทคโนโลยีระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่โตโยต้ามีความเชี่ยวชาญมายาวนาน นอกจากนี้ โตโยต้ายังให้ Battery Care Program ที่ครอบคลุมแบตเตอรี่ได้นานถึง 10 ปี หรือ 1 ล้านกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับผลการตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ประจำปี

ขนาดตัวถัง

  • ความยาวตัวรถ 4,690 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,860 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,650 มิลลิเมตร
  • ฐานล้อ (ระยะห่างระหว่างเพลาหน้า–หลัง) 2,850 มิลลิเมตร
  • ความสูงจากพื้น (Ground Clearance) 180 มิลลิเมตร

น้ำหนักของแต่ละเกรดแตกต่างกันตามระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่

  • รุ่น G (FWD) น้ำหนัก 1,830 กิโลกรัม
  • รุ่น Z (FWD) น้ำหนัก 1,880 กิโลกรัม
  • รุ่น Z (4WD) น้ำหนัก 1,990 กิโลกรัม

มิติเภายในห้องโดยสาร

  • ความยาวห้องโดยสาร 1,935 มิลลิเมตร

  • ความกว้าง 1,500 มิลลิเมตร

  • ความสูงภายใน (Headroom)

    • รุ่น Z: 1,145 มิลลิเมตร
    • รุ่น G: 1,160 มิลลิเมตร

รุ่น Z (FWD)

  • รหัสมอเตอร์: 2XM (ติดตั้งที่เพลาหน้า)
  • ชนิดมอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสกระแสสลับ (AC synchronous motor)
  • กำลังสูงสุด: 167 kW หรือ 227 แรงม้า (PS)
  • แรงบิดสูงสุด: 268 นิวตันเมตร (27.3 กก.-ม.)
  • ระบบขับเคลื่อน: ขับหน้า (FWD)
  • แบตเตอรี่แรงดันสูง: ลิเธียมไอออน (Lithium-ion)

    • ความจุรวม: 74.7 kWh

    • จำนวนเซลล์: 104 เซลล์

    • ความจุไฟฟ้า: 191 Ah

    • แรงดันรวม: 391 V

  • อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า: 113 Wh/กม.
  • ระยะทางวิ่ง (WLTC Mode): 746 กม.
  • น้ำหนักรถ: 1,880 กก.
  • รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด: 5.6 ม.

รุ่น G (FWD)

  • รหัสมอเตอร์: 2XM
  • ชนิดมอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสกระแสสลับ (AC synchronous motor)
  • กำลังสูงสุด: 124 kW หรือ 169 แรงม้า (PS)
  • แรงบิดสูงสุด: 268 นิวตันเมตร (27.3 กก.-ม.)
  • ระบบขับเคลื่อน: ขับหน้า (FWD)
  • แบตเตอรี่แรงดันสูง: ลิเธียมไอออน

    • ความจุรวม: 57.7 kWh

    • จำนวนเซลล์: 78 เซลล์

    • ความจุไฟฟ้า: 200 Ah

    • แรงดันรวม: 288.6 V

  • อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า: 111 Wh/กม.
  • ระยะทางวิ่ง (WLTC Mode): 544 กม.
  • น้ำหนักรถ: 1,830 กก.
  • รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด: 5.6 ม.

รุ่น Z (4WD)

  • รหัสมอเตอร์หน้า: 2XM
  • รหัสมอเตอร์หลัง: 3XM
  • ชนิดมอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสกระแสสลับทั้งคู่
  • กำลังสูงสุด (รวม): หน้า 167 kW + หลัง 88 kW = รวม 315 แรงม้า (PS)
  • แรงบิดสูงสุด (รวม): หน้า 268 Nm + หลัง 169 Nm
  • ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า e-Axle 4WD
  • แบตเตอรี่แรงดันสูง: ลิเธียมไอออน

    • ความจุรวม: 74.7 kWh

    • จำนวนเซลล์: 104 เซลล์

    • ความจุไฟฟ้า: 191 Ah

    • แรงดันรวม: 391 V

  • อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า: 121–135 Wh/กม. (ขึ้นอยู่กับล้อ 18 หรือ 20 นิ้ว)
  • ระยะทางวิ่ง (WLTC Mode): 687 กม.
  • น้ำหนักรถ: 1,990 กก.
  • รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด: 5.6 ม.
  • โหมดการขับขี่: X-MODE (Snow/Dirt, Deep Snow/Mud) + GRIP Control

โครงสร้างพื้นฐาน (Platform & Chassis)

Toyota bZ4X ถูกสร้างบนพื้นฐาน e-TNGA Platform (Electric-Toyota New Global Architecture) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ออกแบบร่วมกับ Subaru โดยให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำมาก และมีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังใกล้เคียง 50:50

แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถูกติดตั้งเป็น “โครงสร้างรับแรง” อยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร ทำให้โครงสร้างตัวรถแข็งแรง ลดการบิดตัวเมื่อเข้าโค้ง และช่วยให้ช่วงล่างทำงานแม่นยำขึ้น

ระบบกันสะเทือน (Suspension System)

  • ด้านหน้า (Front Suspension): ใช้แบบ แม็กเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง จุดยึดและมุมแคสเตอร์ถูกออกแบบใหม่เพื่อให้ตอบสนองต่อพวงมาลัยเร็วแต่มั่นคง พร้อม “ระบบควบคุมแรงสั่นสะเทือนตัวถัง” (Body Damping Control) ที่ช่วยลดการกระแทกจากพื้นถนน

  • ด้านหลัง (Rear Suspension): ใช้แบบ ดับเบิลวิชโบน (Double Wishbone) ซึ่งเป็นโครงสร้างระดับพรีเมียม ทำให้แยกการซับแรงสะเทือนและการควบคุมแนวตั้งได้ดี เหมาะกับรถที่มีน้ำหนักแบตเตอรี่ใต้พื้น และช่วยให้การเข้าโค้งเนียนและแน่นหนึบกว่าระบบมัลติลิงก์ทั่วไป

ระบบเบรกและการควบคุมแรงดัน

bZ4X ใช้ ดิสก์เบรก 4 ล้อแบบมีช่องระบายความร้อน พร้อมระบบ Electronic Parking Brake (EPB) และฟังก์ชัน Brake Hold สำหรับการหยุดชั่วคราวในจราจรติดขัด

ยังติดตั้งระบบช่วยเบรกพื้นฐานทั้งหมด เช่น

  • ABS (Anti-lock Brake System)
  • EBD (Electronic Brake-force Distribution)
  • BA (Brake Assist)
  • VSC (Vehicle Stability Control)

นอกจากนี้ ยังมี Secondary Collision Brake ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน เพื่อลดแรงกระแทกซ้ำ

ระบบขับเคลื่อนและควบคุมแรงฉุด (Drivetrain & Traction)

รุ่น FWD (Z / G)

ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า e-Axle พร้อมอินเวอร์เตอร์และเกียร์ทดอัตราเดียว 13.817:1 ให้การตอบสนองทันทีแบบรถไฟฟ้า แต่ออกแบบให้ไม่กระชากในความเร็วต่ำ โหมดการขับมี ECO / NORMAL / SNOW ให้เลือก

รุ่น 4WD (Z เท่านั้น)

ใช้ระบบ Dual e-Axle มีมอเตอร์ทั้งหน้าและหลัง (อัตราทด 13.817 / 13.754) พร้อมระบบควบคุมแรงบิดอิสระ 100:0 ถึง 0:100 ระหว่างเพลาหน้า-หลัง ทำงานผ่านระบบควบคุมกลางแบบอิเล็กทรอนิกส์

และยังมาพร้อมเทคโนโลยีเฉพาะของ Toyota/Subaru คือ X-MODE — ระบบช่วยขับในสภาพถนนลื่น มีโหมด

  • SNOW/DIRT สำหรับพื้นลื่น

  • DEEP SNOW/MUD สำหรับพื้นโคลนหรือหิมะลึก

รวมถึง GRIP Control ที่ช่วยให้รถเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องในทางชันหรือขรุขระ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งค้าง

การควบคุมพวงมาลัยและการขับขี่

  • พวงมาลัยเป็นแบบ ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ปรับน้ำหนักตามความเร็ว ในความเร็วต่ำจะเบาเพื่อความคล่องตัว (รัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.6 เมตร) ส่วนความเร็วสูงจะหนืดขึ้นเพื่อความมั่นคง
  • ระบบช่วยทรงตัวและระบบควบคุมการยึดเกาะถูกปรับจูนให้ทำงานร่วมกับแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยลดการหมุนฟรีของล้อขณะออกตัวและรักษาเสถียรภาพระหว่างเข้าโค้ง

จุดเด่นทางวิศวกรรมช่วงล่าง

  • จุดศูนย์ถ่วงต่ำจากแบตเตอรี่ใต้พื้น ทำให้ตัวรถนิ่งแม้เปลี่ยนเลนเร็ว
  • โครงสร้าง e-TNGA เพิ่มความแข็งแรงบริเวณจุดยึดช่วงล่าง
  • ด้านหลังดับเบิลวิชโบนช่วยให้ขับนุ่มแต่มั่นใจในโค้ง
  • ระบบกันสะเทือนและ VSC ปรับทำงานร่วมกับแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์
  • รุ่น 4WD ใช้การกระจายแรงบิดอัตโนมัติแบบ Linear Torque Split เพื่อให้แรงฉุดต่อเนื่องทุกสภาพถนน

แนวคิดการออกแบบโดยรวม

Toyota bZ4X พัฒนาโดยใช้แนวคิดหลักว่า

“High-Tech and Emotionally Engaging BEV” — รถไฟฟ้าที่ทั้งล้ำสมัยและให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร

จุดเด่นคือการออกแบบภายนอกที่ ผสมความเรียบสะอาดของรถไฟฟ้า กับความแข็งแรงของ SUV จึงเห็นได้ว่าทั้งคันไม่มีเส้นโค้งเว้าเยอะ แต่ใช้พื้นผิวที่เรียบตึง แฝงความมั่นคงแบบ “solid surface”

ด้านหน้ารถได้แรงบันดาลใจจากแนวคิด “Hammerhead Shark Face” — เอกลักษณ์ใหม่ของ Toyota BEV ไฟหน้าสองข้างเรียวยาวพาดเชื่อมกับแนวฝากระโปรง ดูเฉียบคมเหมือนครีบปลาฉลามหัวค้อน ตรงกลางตัดเรียบ ไม่มีช่องกระจังหน้าแบบรถน้ำมัน เพื่อสื่อถึง “ความบริสุทธิ์ของไฟฟ้า”

ด้านหน้า (Front Design)

  • ไฟหน้าแบบ Full LED Projector พร้อมไฟ Daytime Running Light (DRL) ดีไซน์แยกชั้น
  • มี ระบบปรับระดับอัตโนมัติ (Auto Leveling) และ หัวฉีดล้างไฟหน้า (Headlamp Cleaner)
  • ไฟเลี้ยวหน้าเป็น LED ฝังในชุดไฟหลัก
  • กันชนหน้าทรงเรียบ มี Active Grille Shutter ปิด-เปิดอัตโนมัติเพื่อลดแรงต้านลม
  • ฝากระโปรงหน้า (Hood) ออกแบบให้ลาดต่ำเพื่อช่วยมุมมองด้านหน้าและแอโรไดนามิก
  • เส้นสายแนวฝากระโปรงและบังโคลนหน้าออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นรูปทรง “V-Shape” ที่เน้นให้รถดูล้ำและกว้าง

ด้านข้าง (Side Profile)

  • ด้านข้างเป็นจุดที่บ่งบอกอัตลักษณ์ SUV ไฟฟ้าได้ชัดเจนที่สุด — เส้นข้างล่างพาดตั้งแต่ล้อหน้าไปท้ายแบบ “Clean Line” ไม่มีขอบประตูโครเมียม
  • มือจับประตูแบบปกติ (ไม่ซ่อนในตัวถัง) เพื่อให้ใช้งานสะดวกในอากาศหนาวหรือขณะสวมถุงมือ
  • กระจกข้าง (Door Mirror) เป็นแบบ อัตโนมัติพับไฟฟ้า + ฮีตเตอร์ + ไฟส่องพื้น และมีฟังก์ชัน เมมโมรี่ตำแหน่ง + ย้อนกลับเมื่อเข้าเกียร์ถอย ในรุ่น Z บริเวณขอบหน้าต่างตกแต่งด้วย ขอบสแตนเลสดำ (Stainless Black Molding) เพิ่มความพรีเมียมโดยไม่ต้องใช้โครเมียมมันเงา
  • ล้ออัลลอยมาตรฐานขนาด 18 นิ้ว (ยาง 235/60R18)
  • และสามารถเลือกออปชันล้อ 20 นิ้ว (ยาง 235/50R20) ล้อดีไซน์ล้ำแบบใบพัด 5 ก้านคู่ (5-Twin Spoke Aero Design) ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความสปอร์ต แต่ยังช่วยลดแรงต้านลม

ด้านท้าย (Rear Design)

  • ดีไซน์ท้ายรถเน้นแนวกว้างและความเรียบแบบรถ BEV แท้
  • ไฟท้ายเป็นแบบ LED Full Bar พาดยาวตลอดแนวฝากระโปรงหลัง ให้มิติความต่อเนื่องเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ (Floating Tail Lamp)
  • โลโก้ TOYOTA ด้านท้ายเปลี่ยนจากแบบ “ตราไข่” เป็นตัวอักษรพิมพ์ใหญ่กลางแถบไฟ สื่อถึงความล้ำและความเป็นยุคใหม่ของแบรนด์ bZ (Beyond Zero)
  • กันชนท้ายสีทูโทนตัดกับตัวถัง พร้อมแผ่นกันกระแทกด้านล่างสีเทาเข้ม แสดงภาพลักษณ์ของรถ SUV ที่พร้อมลุย
  • รุ่น Z มาพร้อมสปอยเลอร์หลังดีไซน์ “Aero Panel” มีครีบทรงแอโรไดนามิกสองชั้น ช่วยลดแรงยกในความเร็วสูง
     G ใช้สปอยเลอร์แบบ “Flat Panel” เรียบกว่าแต่ดูหรูและสะอาดสายตา

หลังคาและโครงสร้างส่วนบน (Roof Area)

  • หลังคาเรียบลู่ตามแนวเส้นโค้งหลังคาแบบคูเป้เล็กน้อย รุ่น Z และ G สามารถเลือกติดตั้ง หลังคากระจก Panoramic Moonroof ที่มีม่านไฟฟ้าเปิด–ปิด และระบบกันหนีบ
  • สำหรับรุ่นสูงสุด ยังสามารถเลือกออปชัน Solar Roof (หลังคาโซลาร์เซลล์) ที่สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรงได้ Toyota ระบุว่าสามารถผลิตพลังงานเฉลี่ย 1,200–1,800 กม./ปี จากพลังงานแสงอาทิตย์
  • ราวหลังคา (Roof Rail) มีให้เลือกเป็นออปชัน สีดำด้าน ราคาประมาณ 33,000 เยน

สีตัวถัง (Body Colors)

มีให้เลือกทั้ง โมโนโทน (สีเดียว) และ ทูโทน (หลังคาดำ) โดยสีทูโทนจะใช้หลังคาสีดำตัดกับตัวถังโทนสว่าง เช่น

Advertisement Advertisement
  • Precious Metal / Black
  • Platinum White Pearl / Black
  • Emotional Red Ⅱ / Black
  • Dark Blue / Black

สีพิเศษมีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามเฉด (เช่น Pearl White, Emotional Red)

งานแอโรไดนามิก (Aerodynamics)

bZ4X ผ่านการออกแบบให้มี ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd) ต่ำเพียง 0.28 โดยใช้เทคนิคหลายอย่าง เช่น

  • แผงใต้ท้องรถแบบเรียบ (Full Flat Under Cover)
  • ช่องลมควบคุมแรงกด (Air Spats)
  • สปอยเลอร์ท้ายแยกครีบซ้าย–ขวา
  • Active Grille Shutter ด้านหน้า ทั้งหมดช่วยให้ลู่ลม ประหยัดพลังงาน และลดเสียงลมในห้องโดยสาร

ความแตกต่างระหว่างรุ่น

  • รุ่น Z: ภายนอกหรู สปอร์ต มี Aero Spoiler, กระจก Digital Mirror, ล้อ 20 นิ้ว, ไฟ LED ครบทุกตำแหน่ง, ระบบฉีดล้างไฟหน้า

  • รุ่น G: เน้นเรียบหรู ใช้ Flat Spoiler, กระจก Auto-dimming Mirror, ล้อ 18 นิ้ว, ไม่มีไฟฉีดล้าง

แนวคิดการออกแบบภายใน

Toyota ตั้งแนวคิดห้องโดยสารของ bZ4X ว่า

Activity Hub — พื้นที่ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและเทคโนโลยี

แนวคิดนี้เน้นให้คนขับรู้สึกเชื่อมโยงกับรถและสิ่งรอบตัว โดยผสมความเรียบหรูแบบมินิมอลเข้ากับเทคโนโลยีล้ำยุคของ BEV ทุกอย่างถูกจัดวางให้ “โปร่ง โล่ง และไร้สิ่งรบกวนสายตา”

พื้นที่และการจัดวาง (Layout & Space)

  • พอเปิดประตูเข้ามา สิ่งแรกที่สัมผัสคือความ “โล่งและเงียบ” พื้นห้องโดยสารเรียบสนิท ไม่มีคันเกียร์หรือเพลากลางมาขวาง เพราะระบบขับเคลื่อนเป็นไฟฟ้า
    ทำให้พื้นที่วางขากว้างมาก โดยเฉพาะแถวหลังที่นั่งสบายเท่ารถ D-Segment
  • คอนโซลกลางยกสูง มีฝาปิดแบบ “Floating Bridge” ใต้ช่องวางของโปร่งทะลุพื้น สื่อถึงความลอยตัวและเทคโนโลยีของรถไฟฟ้า
  • วัสดุภายในใช้แนว Soft-touch + Fabric Grain แทนโครเมียมเงา เพื่อให้บรรยากาศอบอุ่นแบบญี่ปุ่น แต่ยังดูหรูแบบ Minimal Premium

ตำแหน่งคนขับ (Driver Zone)

  • จุดเด่นที่สุดของ bZ4X คือ “Cockpit แบบ Layback” หน้าปัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ถูกยกสูงเหนือพวงมาลัย (แบบ HUD Position) คนขับจึงมองข้อมูลได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน
  • พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ 3 ก้านทรง D-Shape เสริมด้วยแถบเมทัลลิกและปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชันครบ มีระบบปรับน้ำหนักพวงมาลัยอัตโนมัติตามความเร็ว
  • เกียร์ควบคุมด้วยปุ่มหมุนแบบ Dial — หมุนขวาเพื่อ D, หมุนซ้ายเพื่อ R, กดตรงกลางเพื่อ P ดีไซน์ลอยตัวเน้นเรียบแต่หรู ใช้งานง่าย

หน้าจอและระบบอินโฟเทนเมนต์

จอกลางแบบ Touchscreen ขนาด 14 นิ้ว รองรับทั้ง Apple CarPlay (ไร้สาย) และ Android Auto (สาย) มีระบบนำทางในตัว, Bluetooth, HDMI, และทีวีดิจิทัล (เฉพาะญี่ปุ่น)

เสียงออกผ่านระบบเครื่องเสียง

  • รุ่น Z: ชุด JBL Premium Audio 9 ลำโพง พร้อม Subwoofer

  • รุ่น G: ระบบมาตรฐาน 6 ลำโพง

ระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey, Toyota” รองรับภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ พร้อมแสดงสถานะการชาร์จ / การใช้พลังงาน / สภาพถนนแบบเรียลไทม์

เบาะและวัสดุตกแต่ง (Seats & Trim)

  • รุ่น Z ใช้เบาะหุ้มหนังสังเคราะห์คุณภาพสูง (Synthetic Leather) เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม ระบบจำตำแหน่ง (2 Memory) มี ระบบระบายอากาศ (Ventilated Seat) ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสารหน้า เบาะหลังมี ฮีตเตอร์ (Heated Rear Seats) และที่พักแขนกลาง

  • รุ่น G ใช้เบาะผ้า + หนังสังเคราะห์ผสม เบาะคู่หน้าเป็นแบบปรับมือ 6 ทิศทาง ไม่มีระบบระบายอากาศหรือฮีตเตอร์

การออกแบบพนักพิงด้านข้างโอบรับลำตัวพอดี เหมาะกับทั้งการขับทางไกลและขับในเมือง

ระบบปรับอากาศและความสะดวกสบาย

  • ทุกเกรดติดตั้ง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกซ้าย–ขวา (Dual Zone) พร้อมเทคโนโลยี nanoe X ช่วยลดกลิ่นและแบคทีเรียในอากาศ
  • รุ่น Z จะได้ ระบบทำความร้อนแบบแผ่รังสี (Radiant Heater) ซ่อนอยู่บริเวณแผงข้างคนขับและขาผู้โดยสารหน้า ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นโดยไม่ต้องเร่งฮีตเตอร์ทั้งห้อง (ลดการใช้พลังงานแบต)
  • ช่องแอร์ด้านหลังมีในทุกรุ่น พร้อมช่อง USB Type-C สำหรับผู้โดยสาร

แสงไฟและกระจกมองหลัง

  • แสงไฟภายในห้องโดยสารออกแบบโทนอบอุ่น ไฟอ่านแผนที่และไฟบริเวณประตูเป็นแบบ LED ทั้งหมด
  • รุ่น Z มีกระจกมองหลังแบบ Digital Inner Mirror พร้อมระบบล้างกล้อง สามารถสลับมุมมองจากภาพจริง–ภาพกล้องหลังได้ทันที ส่วนรุ่น G ใช้กระจกแบบ Auto-dimming ป้องกันแสงสะท้อนจากรถด้านหลัง

หลังคา (Roof Design)

มีให้เลือก 2 แบบ

  • หลังคากระจก Panoramic Roof พร้อมม่านไฟฟ้า (มีระบบกันหนีบ)

  • หลังคา Solar Roof (เฉพาะรุ่น Z) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากพลังแสงอาทิตย์โดยตรง

ในสภาพอากาศร้อนจะมีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ห้องโดยสารสะสมความร้อนเกินไป

พื้นที่เก็บสัมภาระ (Cargo Space)

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังจุประมาณ 452 ลิตร สามารถพับเบาะหลัง 60:40 เพื่อขยายเป็นเกือบ 1,000 ลิตร พื้นท้ายเรียบ ไม่มีคันเกียร์หรือแบตเตอรี่ยื่นเข้ามา ใต้พื้นมีช่องเก็บสายชาร์จและอุปกรณ์ฉุกเฉิน

การตกแต่งและวัสดุ

Toyota ให้ความสำคัญกับ “วัสดุสัมผัส” มากเป็นพิเศษ พื้นผิวคอนโซลหน้าตัดด้วยผ้าเนื้อเรียบผสมลายเมทัลลิกบางจุด เส้นแนวกลางพาดต่อเนื่องจากแผงประตูถึงคอนโซลกลาง ให้ความรู้สึกต่อเนื่องและอบอุ่นแบบญี่ปุ่น (Japanese Living Style)

ในรุ่น Z จะมีไฟตกแต่ง (Ambient Light) รอบคอนโซลและขอบประตู ช่วยสร้างบรรยากาศยามค่ำคืนคล้าย Lexus ระดับหรู

ความรู้สึกโดยรวม

เมื่ออยู่ใน bZ4X จะสัมผัสได้ถึง “ความสงบแบบอนาคต” — เงียบ, กว้าง, และสว่าง แต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ไม่รุงรัง Toyota ตั้งใจให้ห้องโดยสาร BEV รุ่นนี้ “อบอุ่นกว่ารถไฟฟ้าทั่วไป”

รุ่น Z คือภาพของความหรูและเทคโนโลยีครบถ้วน
รุ่น G คือภาพของความเรียบง่าย ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

แนวคิดด้านความปลอดภัยของ bZ4X

Toyota วางแนวคิดว่า “Safety First BEV — รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องปลอดภัยในทุกมิติ ทั้งผู้ขับ ผู้โดยสาร และผู้ใช้ถนน”

ดังนั้น bZ4X ไม่ได้เน้นแค่ระบบช่วยเบรกหรือเลน แต่รวมถึง

  • ระบบช่วยขับกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Autonomous)
  • ระบบตรวจจับสภาพผู้ขับขี่
  • ระบบเบรกอัตโนมัติหลังเกิดการชน
  • การเชื่อมต่อออนไลน์เพื่อรายงานอุบัติเหตุ

ทั้งหมดทำงานผ่านชุด “Toyota Safety Sense + Toyota Teammate” ที่เป็นแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของ Toyota ปี 2025

Toyota Safety Sense (เวอร์ชันล่าสุด)

  • Pre-Collision System (PCS) ระบบเตือนการชนและเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับ คนเดินเท้า (กลางวัน/กลางคืน) รถจักรยาน (กลางวัน/กลางคืน) รถจักรยานยนต์ (กลางวัน) และตรวจจับรถยนต์ขณะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลนได้ด้วย กล้องมุมกว้าง + เรดาร์มิลลิเมตร ช่วยให้ประเมินระยะได้แม่นยำกว่าเดิม
  • Emergency Steering Assist (ESA) ระบบช่วยเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ โดยไม่หลุดออกจากเลน พร้อม “Active Steering” ที่ควบคุมพวงมาลัยให้เลี้ยวในมุมปลอดภัยที่สุด ในรุ่น Z ระบบนี้ทำงานร่วมกับ Front Cross Traffic Alert (FCTA) และ Lane Change Assist (LCA) ช่วยเตือนและเลี้ยวหลบเมื่อมีรถตัดหน้าขณะเปลี่ยนเลน
  • Lane Tracing Assist (LTA) ช่วยประคองรถให้อยู่กลางเลน ทำงานร่วมกับพวงมาลัยไฟฟ้า EPS พร้อม Lane Departure Alert (LDA) ที่เตือนเมื่อรถเริ่มเบี่ยงออกจากเส้น
  • Radar Cruise Control (Full Speed Range) ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันตามรถหน้า สามารถหยุด–ออกตัวได้เองในจราจรติดขัด
  • Adaptive High Beam System (AHS) ไฟสูงอัตโนมัติแบบแยกโซน ปรับลำแสงเพื่อไม่แยงตารถฝั่งตรงข้าม เฉพาะรุ่น Z (รุ่น G ใช้ระบบไฟสูงอัตโนมัติธรรมดา)
  • Road Sign Assist (RSA) อ่านป้ายจำกัดความเร็วและแสดงบนหน้าปัด
  • Proactive Driving Assist (PDA) เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยปรับความเร็วและมุมเลี้ยวอัตโนมัติ
    ขณะเข้าโค้งหรือเข้าใกล้รถคันหน้า โดยไม่ต้องแตะเบรกเอง
  • Driver Monitoring System กล้องติดตั้งในพวงมาลัย ตรวจจับอาการเหนื่อยล้าหรือหลับในของผู้ขับ
    ถ้าพบการตอบสนองช้า ระบบจะเตือนเสียงและลดความเร็วลงอัตโนมัติ
  •  Secondary Collision Brake หากรถเกิดการชน ระบบจะสั่งเบรกให้อัตโนมัติ เพื่อลดแรงกระแทกซ้ำและป้องกันการพุ่งไปข้างหน้า
  • Plus Support / Sudden Acceleration Suppression ช่วยลดกำลังมอเตอร์ในกรณีผู้ขับเหยียบคันเร่งผิด เช่น ตอนจอดหรือเข้าเกียร์ผิดพลาด

เทคโนโลยีช่วยขับขั้นสูง (Toyota Teammate)

  • Advanced Park (Remote Function) ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ สามารถสั่งให้รถจอดในช่องหรือออกจากช่องได้เอง ใช้กล้องรอบคันและเซนเซอร์อัลตราโซนิก ในรุ่น Z สามารถสั่งงานผ่าน รีโมตหรือสมาร์ตโฟน (ขับเข้าช่องจอดได้โดยไม่มีคนอยู่ในรถ) รุ่น G มีเฉพาะ Advanced Park ปกติ (ต้องมีคนขับอยู่)
  • Advanced Drive (Traffic Jam Assist) เฉพาะรุ่น Z เป็นระบบขับกึ่งอัตโนมัติในความเร็วต่ำ (0–40 กม./ชม.) ในสภาพจราจรติดขัด รถสามารถเร่ง–เบรก–ควบคุมพวงมาลัยตามรถคันหน้าได้เอง โดยผู้ขับแค่จับพวงมาลัยเบา ๆ เพื่อยืนยันความพร้อม ระบบนี้ถือเป็นขั้น “Level 2+” ของการขับขี่อัตโนมัติในญี่ปุ่น
  • Parking Support Brake ระบบช่วยเบรกขณะจอดรถ — ตรวจจับสิ่งกีดขวางด้านหน้า, ด้านหลัง, และรอบคัน รวมถึงคนเดินเท้า หรือรถที่ขับตัดหลัง ถ้าผู้ขับไม่เบรก ระบบจะสั่งเบรกอัตโนมัติทันที
  • Panoramic View Monitor กล้องรอบคันมุมมอง 360° พร้อมฟังก์ชัน “มองทะลุพื้นรถ” (Underfloor View) ช่วยให้เห็นแนวขอบฟุตปาธหรือสิ่งกีดขวางขณะจอด
  • Blind Spot Monitor (BSM) + Safe Exit Assist (SEA) เตือนรถในจุดอับสายตา และป้องกันการเปิดประตูขณะมีรถมาจากด้านหลัง ถ้าระบบตรวจพบรถใกล้เข้ามา จะล็อกประตูไม่ให้เปิดออกจนกว่ารถจะผ่านไป
  • Rear Cross Traffic Alert (RCTA) เตือนรถที่กำลังวิ่งตัดหลังขณะถอยออกจากช่องจอด
  • Emergency Driver Stop System ถ้าคนขับหมดสติ (เช่น เป็นลม / ไม่ตอบสนอง)
    ระบบจะชะลอรถและหยุดบนไหล่ทาง พร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน

 โครงสร้างตัวถังนิรภัย (Passive Safety)

  • โครงสร้างพื้นฐาน e-TNGA มีจุดเสริมเหล็กแรงดึงสูง (High Tensile Steel) รอบแบตเตอรี่

  • มี “Frame Reinforcement” บริเวณขอบพื้นรถ เพื่อป้องกันการบิดตัวจากแรงชน

  • ถุงลมนิรภัยรอบคัน (หน้า, ด้านข้าง, ม่านนิรภัย, หัวเข่า)

  • ระบบตัดไฟแรงดันสูงอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน เพื่อป้องกันไฟลัดวงจรในแบตเตอรี่

ระบบเชื่อมต่อและความปลอดภัยหลังเกิดเหตุ

bZ4X รองรับบริการ T-Connect (Toyota Smart Connect) สามารถส่งข้อมูลอุบัติเหตุ, สถานะรถ, และตำแหน่ง GPS ไปยังศูนย์ช่วยเหลืออัตโนมัติ หากเกิดการชนรุนแรง ระบบจะโทรแจ้งศูนย์ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติทันที

ความแตกต่างระหว่างเกรด

  • รุ่น Z: ได้ระบบครบทุกฟังก์ชัน — Advanced Drive, Remote Park, FCTA, LCA, Digital Mirror

  • รุ่น G: มีระบบพื้นฐาน Toyota Safety Sense ครบ แต่ไม่มี Advanced Drive, Remote Park และ FCTA

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้