Volkswagen ปิดสายการผลิตเดรสเดนครั้งแรกในรอบ 88 ปี ที่เยอรมนี สัญญาณเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมรถยุโรป
Volkswagen ปิดสายการผลิตเดรสเดนครั้งแรกในรอบ 88 ปี ที่เยอรมนี สัญญาณเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมรถยุโรป
Volkswagen เตรียมหยุดการผลิตรถยนต์ทั้งคันที่โรงงานเมือง เดรสเดน (Dresden) หลังวันที่ 16 ธันวาคม ซึ่งถูกมองว่าเป็น “หมุดหมายทางประวัติศาสตร์” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 88 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่รายนี้ปิดสายการผลิตรถยนต์ในประเทศเยอรมนีโดยตรง เหตุการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่การปรับโครงสร้างภายในองค์กร แต่ยังฉายภาพแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ค่ายรถยุโรปกำลังเผชิญ ทั้งเรื่องตลาดจีนที่ชะลอ ความต้องการในยุโรปลดลง และต้นทุน/นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ทำให้การบริหารเงินสด “ตึงมือ” มากขึ้น
ทำไม Volkswagen ต้องหยุดผลิตที่เดรสเดน?
แม้ Volkswagen จะยังคงสถานะเป็นผู้ผลิตรถรายใหญ่ของยุโรป แต่ช่วงหลังบริษัทต้องรับแรงกดดันหลายชั้นพร้อมกัน ได้แก่
- ยอดขายในจีนอ่อนแรง กระทบทั้งปริมาณขายและความสามารถทำกำไรในตลาดหลัก
- ดีมานด์ยุโรปชะลอตัว ทำให้การเดินไลน์ผลิตเต็มกำลัง “ไม่คุ้มต้นทุน” ในบางพื้นที่
- แรงกดดันด้านกระแสเงินสด จากนโยบายภาษี/การค้าของสหรัฐฯ และสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
เมื่อ “ยอดขายไม่วิ่งเท่าเดิม” แต่ “ต้นทุนคงที่ยังอยู่” การตัดสินใจลดกำลังการผลิตในประเทศที่ต้นทุนสูง จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายค่ายรถยุโรปต้องทำ เพื่อรักษาสภาพคล่องและความสามารถแข่งขันระยะยาว
งบลงทุน 5 ปีถูกกดดัน ลดจาก 1.8 แสนล้านยูโร เหลือ 1.6 แสนล้านยูโร
Volkswagen ปรับทบทวนจังหวะการลงทุนต่อเนื่อง โดยงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าประมาณ 160,000,000,000 ยูโร ลดลงจากรอบก่อนหน้าที่วางไว้ 180,000,000,000 ยูโร และมีการปรับด้วยกลไก “rolling” ทำให้ตัวเลขถูกทยอยลดลงตามสภาพตลาด
อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในบทความนี้: 1 ยูโร = 36.93 บาท
| รายการ | มูลค่า (ยูโร) | คิดเป็นเงินไทย (บาท) | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
| งบลงทุน 5 ปี (แผนล่าสุด) | 160,000,000,000 | 5,908,800,000,000 บาท (≈ 5.91 ล้านล้านบาท) | ลดลงจากแผนเดิม |
| งบลงทุนรอบก่อน (2023–2027) | 180,000,000,000 | 6,647,400,000,000 บาท (≈ 6.65 ล้านล้านบาท) | สูงกว่าแผนล่าสุด |
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ตลาดยังมองว่า รถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) อาจมีอายุในตลาด “ยาวกว่าที่คาด” ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องกันงบเพื่อพัฒนา/ต่อยอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์รุ่นใหม่ควบคู่กับ EV ซึ่งทำให้การจัดพอร์ตลงทุนยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม
กำลังการผลิตเดรสเดน “น้อยมาก” เมื่อเทียบโรงงานหลัก
โรงงานเดรสเดนเริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่ปี 2002 แต่ยอดผลิตสะสม ไม่ถึง 200,000 คัน ซึ่งเมื่อเทียบกับโรงงานหลักอย่าง โวล์ฟสบวร์ก (Wolfsburg) ถือว่าน้อยมากจนถูกมองว่าเป็น “ไลน์ที่แบกรับต้นทุนได้ยาก” หากไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณที่สร้างประสิทธิภาพเชิงอุตสาหกรรม
ไม่ใช่แค่หยุดผลิต เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดกำลังการผลิตในเยอรมนี
การหยุดผลิตเดรสเดนถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผน ลดกำลังการผลิตในเยอรมนี และสอดคล้องกับข้อตกลงกับสหภาพแรงงาน ซึ่งมีผลให้ Volkswagen ปรับลดตำแหน่งงานของแบรนด์ในประเทศประมาณ 35,000 ตำแหน่ง
ผู้บริหารแบรนด์ Volkswagen ระบุโดยสรุปว่า การปิดไลน์ผลิตเดรสเดน “ไม่ใช่การตัดสินใจแบบรีบเร่ง” แต่เป็นสิ่งที่ “จำเป็นในเชิงเศรษฐกิจ” ภายใต้สภาพตลาดที่เปลี่ยนเร็วและการแข่งขันสูงขึ้น
จาก “Transparent Factory” สู่ศูนย์วิจัย AI–หุ่นยนต์–ชิป
เดรสเดนเคยถูกขนานนามว่า “โรงงานโปร่งใส (Transparent Factory)” และมีความหมายเชิงภาพลักษณ์สูงในอดีต โดยเริ่มจากการผลิตรถหรูอย่าง Phaeton ก่อนยุติในปี 2016 แล้วเปลี่ยนบทบาทมาเป็นฐานผลิต Volkswagen ID.3 ในช่วงยุคไฟฟ้า
หลังยุติการผลิตรถยนต์ทั้งคัน โรงงานเตรียมปรับเป็นพื้นที่เชิงวิจัย โดยมีแผนให้เช่าพื้นที่กับมหาวิทยาลัยในเดรสเดน เพื่อสร้างแคมปัสวิจัยด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์ และ ชิป
งบลงทุนโครงการวิจัย 50 ล้านยูโร เป็นเงินไทยเท่าไหร่?
| รายการ | มูลค่า (ยูโร) | คิดเป็นเงินไทย (บาท) | กรอบเวลา |
|---|---|---|---|
| โครงการแคมปัสวิจัย AI/หุ่นยนต์/ชิป | 50,000,000 | 1,846,500,000 บาท (≈ 1.85 พันล้านบาท) | ภายใน 7 ปี |
ขณะเดียวกัน Volkswagen ยืนยันว่าโรงงานเดรสเดนจะยังคงทำหน้าที่ ส่งมอบรถใหม่ และยังเปิดเป็นพื้นที่ เยี่ยมชม/ท่องเที่ยว สำหรับสาธารณชนต่อไป ซึ่งช่วยรักษาบทบาทด้านแบรนด์และประสบการณ์ลูกค้า แม้จะยุติการผลิตแล้วก็ตาม
บทสรุป เดรสเดนหยุดผลิต = ภาพสะท้อน “แรงกดดันโครงสร้าง” ของค่ายรถยุโรป
การหยุดผลิตที่เดรสเดนไม่ได้หมายถึงการอ่อนแรงของ Volkswagen เพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปที่กำลังอยู่ในช่วง “ปรับสมดุลใหม่” ระหว่าง EV–ICE, การลงทุนมหาศาล–สภาพคล่อง, และการแข่งขันระดับโลกที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจีนกลายเป็นสมรภูมิที่ทั้งยอดขายและมาร์จิ้น “ไม่ง่ายเหมือนเดิม”
สำหรับผู้ติดตามตลาดรถ หากมองลึกลงไป เหตุการณ์นี้คือสัญญาณว่า “การผลิต” กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นแกนกลางของโรงงานบางแห่ง ไปสู่การเป็น “พื้นที่เทคโนโลยีและนวัตกรรม” มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นทิศทางที่เราจะเห็นเพิ่มขึ้นในยุโรปต่อจากนี้
