BYD เข้าควบคุมการนำเข้า-จัดจำหน่ายในออสเตรเลียเต็มรูปแบบ หลังจาก EVDirect เบิกทางให้แบรนด์ตั้งแต่ปี 2022

สรุปข่าว: BYD เข้าควบคุมการนำเข้า-จัดจำหน่ายในออสเตรเลียเต็มรูปแบบ
- เริ่ม ก.ค. 2025 BYD จะควบคุมการนำเข้าและจัดจำหน่ายรถในออสเตรเลียเอง เร็วกว่ากำหนด 1 ปี
- EVDirect ซึ่งเป็นผู้เปิดตลาดให้ BYD ตั้งแต่ปี 2022 จะเปลี่ยนบทบาทไปโฟกัสที่การขายปลีก ร่วมกับ Eagers Automotive ในนาม EVDealer Group (EVDG)
- EVDirect ส่งมอบรถกว่า 50,000 คันใน 3 ปี และช่วย BYD เติบโตอย่างรวดเร็ว
- การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยลดเวลารอรถ เพิ่มสต็อก และพัฒนาการบริการหลังการขายทั่วประเทศ
- ยอดขายเดือนเมษายน 2025 BYD ติด Top 10 แบรนด์ขายดีในออสเตรเลีย โต 127.4% YoY จากรุ่นใหม่อย่าง Sealion 6, Sealion 7 และ Shark 6
- ปัจจุบัน EVDirect มีโชว์รูม BYD ในจีนกว่า 169 แห่ง
BYD เตรียมเข้าควบคุมการนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ในออสเตรเลียเองเต็มรูปแบบ เริ่มกรกฎาคม 2025 เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 1 ปี
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์การเติบโตของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในออสเตรเลีย โดย EVDirect ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ผู้เปิดตัวแบรนด์ในประเทศ จะปรับบทบาทมาโฟกัสที่การขายปลีก ผ่านบริษัทร่วมทุนกับ Eagers Automotive
EVDirect ซึ่งนำ BYD เข้าสู่ตลาดออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2022 ได้ยืนยันว่า จะส่งมอบหน้าที่ในการจัดจำหน่ายระดับประเทศให้กับ BYD Australia โดยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา EVDirect ได้ส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่กว่า 50,000 คัน และขยายไลน์อัปจาก 1 รุ่นเป็น 6 รุ่น ทำให้ BYD กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถที่เติบโตเร็วที่สุดในออสเตรเลีย
“ในฐานะผู้นำเข้ารายแรก เราภูมิใจที่ได้มีส่วนในหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเปิดตัวแบรนด์รถยนต์ใหม่ในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย”
ลุค ทอดด์ ผู้ก่อตั้ง EVDirect และประธานบริหารของบริษัทร่วมทุนด้านค้าปลีกใหม่ EVDealer Group (EVDG) กล่าว
“เฟสแรกพิสูจน์แล้วว่า BYD สามารถเติบโตได้ที่นี่ และเฟสที่สอง เราจะมุ่งเน้นให้การเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานใหม่เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าที่เคย”
เมื่อ BYD เข้ามาควบคุมการนำเข้าและจัดจำหน่ายเองทั้งหมด บริษัทร่วมทุนระหว่าง EVDirect และ Eagers Automotive จะกลายเป็นแพลตฟอร์มด้านการขายและบริการหลังการขายที่ใหญ่ที่สุดของ BYD ในประเทศ โดย EVDG มีแผนจะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ พร้อมเปิดรูปแบบการให้บริการใหม่เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
เดวิด สมิธเทอร์แมน ซีอีโอคนใหม่ของ EVDG กล่าวเสริมว่า “เรากำลังลงทุนอย่างหนักในด้านบุคลากร ระบบ และเครือข่ายดีลเลอร์ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ BYD เป้าหมายของเราคือมอบประสบการณ์การขายและบริการหลังการขายที่เป็นผู้นำในตลาดให้กับลูกค้า BYD”
การเปลี่ยนผ่านนี้คาดว่าจะช่วยลดระยะเวลารอรถ และทำให้สต็อกสินค้าหาง่ายขึ้น เนื่องจาก BYD มีซัพพลายเชนสำหรับพวงมาลัยขวาโดยเฉพาะ ขณะที่ลูกค้าก็จะได้รับบริการหลังการขายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผ่านเครือข่ายของ Eagers Automotive ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สะท้อนถึงความมั่นใจของ BYD ต่อศักยภาพของตลาดออสเตรเลีย หลังยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูล VFACTs เดือนเมษายน 2025 BYD ขึ้นแท่นอันดับ 10 แบรนด์รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในออสเตรเลีย โดยมียอดขายเติบโต 127.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลังจากเปิดตัวรุ่นใหม่อย่าง Sealion 6, Sealion 7 SUV ขนาดกลาง และ Shark 6 รถกระบะ
เหตุผลที่ BYD จะเข้ามาแทนที่ EVDirect ในบทบาท “ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย” ในออสเตรเลีย มีหลายด้านที่สะท้อนถึงกลยุทธ์การเติบโตระดับโลกของ BYD ดังนี้
1. ควบคุมห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เอง 100%
-
เมื่อ BYD จัดการนำเข้าและจัดจำหน่ายเอง จะสามารถควบคุมจำนวนรถ รุ่นที่จะนำเข้า และการจัดการสต็อกให้ตอบสนองกับความต้องการในตลาดได้ทันที
-
ลดการรอรถ ปรับราคาตลาดได้เอง และจัดสรรรถได้แม่นยำยิ่งขึ้น
-
ไม่ต้องผ่านตัวกลาง อีกต่อไป = ลดต้นทุน + เพิ่มกำไร
2. ตลาดออสเตรเลียโตเร็ว BYD มั่นใจในศักยภาพ
-
ในเวลาเพียง 3 ปี BYD กลายเป็น Top 10 แบรนด์ขายดีในออสเตรเลีย
-
ยอดขายโต 127.4% YoY (เทียบเมษายน 2024 vs 2025)
-
มีรถให้เลือกครบเซกเมนต์: Dolphin, Atto 3, Seal, Sealion 6/7, Shark
➡️ BYD มองว่าถึงเวลาที่จะ “ยึดเกม” เองแบบเต็มตัว
3. เปลี่ยน EVDirect ไปโฟกัสค้าปลีก (Retail Focus)
-
EVDirect จะไม่หายไปไหน แต่จะเปลี่ยนไปทำหน้าที่ ขายรถ และ ดูแลบริการหลังการขาย
-
จับมือกับ Eagers Automotive ตั้ง EVDealer Group (EVDG) ซึ่งจะกลายเป็นเครือข่ายโชว์รูม + ศูนย์บริการที่ใหญ่ที่สุดของ BYD ในประเทศ
➡️ BYD ทำหน้าที่ “เจ้าของสินค้า”
➡️ EVDirect ทำหน้าที่ “คนขายปลีก”
4. เป็นโมเดลระดับโลกของ BYD
-
ในหลายประเทศ (เช่น ไทย, บราซิล, นอร์เวย์) BYD เริ่มปรับโมเดลจากการมี “พาร์ทเนอร์” มาทำแทน กลายเป็น การบริหารโดยตรงจากบริษัทแม่
-
ช่วยให้แบรนด์คุมคุณภาพ, กลยุทธ์ราคา, แผนการตลาด และภาพลักษณ์ได้ชัดเจนกว่าเดิม