All-NEW HONDA CITY ใหม่ จะเปิดตัวในไทยตอนไหน คาดว่าจะปรับปรุงอะไร ? *ภาพในจินตนาการ

เนื่องจาก Honda City ในประเทศไทยเพิ่งได้รับการปรับโฉม (Minor Change) ไปเมื่อช่วงกลางปี 2566 (กรกฎาคม 2023) สำหรับรุ่นซีดาน และต้นปี 2567 (กุมภาพันธ์ 2024) สำหรับรุ่น Hatchback
โดยทั่วไป วงจรชีวิตของรถยนต์รุ่นหนึ่งจะมีการปรับโฉมย่อย (Minor Change/Facelift) ประมาณ 2-3 ปีหลังจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ และจะมีการเปลี่ยนโฉมใหม่หมด (All-new / Model Change) ประมาณ 5-7 ปี
ดังนั้น หากนับจากรุ่นปัจจุบัน (Gen 7) ที่เปิดตัวในประเทศไทยปลายปี 2562 (2019) และเพิ่งปรับโฉมไป:
- คาดการณ์การปรับโฉมใหม่หมด (All-new / Model Change) ของ Honda City น่าจะอยู่ในช่วงปี 2569 – 2572 (2026 – 2029) โดยอาจจะมีการเปิดตัวในช่วงปลายปีใดปีหนึ่ง หรือต้นปีถัดไป
ในอนาคตของ Honda City (โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่หมด หรือ All-new Model) เราสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาที่สำคัญได้จากแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์และทิศทางของ Honda
ระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- Hybrid (e:HEV) จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญ: Honda จะยังคงให้ความสำคัญกับระบบ Full Hybrid e:HEV มากขึ้น อาจมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น และตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น
- Electric Vehicle (EV) ในอนาคต? แม้ City จะเป็นรถ Segment B ที่เน้นตลาด Mass และราคาเข้าถึงง่าย แต่ในระยะยาว (เช่น เจเนอเรชันถัดไป หรืออาจจะถัดไปอีก) การเปิดตัวรุ่น EV เต็มรูปแบบสำหรับ City ก็เป็นไปได้ เพื่อตอบรับเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง
- เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ดีขึ้น: สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 VTEC TURBO อาจมีการปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดขึ้น (เช่น Euro 6d หรือสูงกว่า) และเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน หรืออาจมีเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม หรือดีกว่า
การยกระดับเทคโนโลยีความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ (Honda SENSING)
- Honda SENSING ที่ฉลาดและครบครันกว่าเดิมคาดว่าจะมีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของฟังก์ชันเดิมให้ดียิ่งขึ้น เช่น
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ที่ครอบคลุมทุกความเร็ว (Low Speed Follow)
- ระบบช่วยบังคับเลี้ยวฉุกเฉิน (Evasive Steering Assist)
- ระบบตรวจจับจุดอับสายตา (Blind Spot Monitoring) และระบบเตือนการจราจรด้านหลัง (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบจอดรถอัตโนมัติ (Parking Assist): มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นในอนาคต
- กล้อง 360 องศา อาจขยายมาในรุ่นกลางๆ มากขึ้น
- โครงสร้างตัวถัง ACE (Advanced Compatibility Engineering) ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่ล้ำสมัยและพรีเมียมมากขึ้น
- ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและทันสมัย คาดว่าจะมีการปรับดีไซน์ให้ดูสปอร์ตและดุดันยิ่งขึ้น มีเส้นสายที่คมชัด และอาจได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่อย่าง Civic หรือ Accord
- ห้องโดยสารที่พรีเมียมและเชื่อมต่อมากขึ้น
- วัสดุภายในที่ดูดีมีราคา อาจมีการใช้วัสดุ Soft-touch หรือการตกแต่งที่ดูหรูหราขึ้น
- หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ขึ้นและเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทั้งมาตรวัดและหน้าจอ Infotainment ที่รองรับการเชื่อมต่อไร้สายอย่างสมบูรณ์แบบ (Apple CarPlay / Android Auto Wireless)
- ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่ฉลาดกว่าเดิม อาจเพิ่มฟังก์ชันการควบคุมรถผ่านสมาร์ทโฟนได้มากขึ้น
- ระบบปรับอากาศ Dual-zone มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นในรุ่นย่อยที่สูงขึ้น
- Wireless Charger อาจมีการจัดวางตำแหน่งที่ดีขึ้นและเป็นมาตรฐานในรุ่นบนๆ
- Sunroof / Moonroof อาจมีในบางตลาดหรือบางรุ่นย่อยเพื่อเพิ่มความพรีเมียม
การยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience – UX)
- ระบบ Infotainment ที่ใช้งานง่ายและตอบสนองเร็ว การปรับปรุง UI/UX ของหน้าจอ Infotainment ให้มีความลื่นไหลและใช้งานง่ายเหมือนสมาร์ทโฟน
- ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น เช่น ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า (สำหรับ Hatchback), ระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่ง เป็นต้น
แพลตฟอร์มใหม่ (อาจจะถึงขั้นแพลตฟอร์มใหม่)
- มีรายงานว่า Honda กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มแบบโมดูลาร์ใหม่ที่เรียกว่า PF2 ในประเทศอินเดีย ซึ่งจะรองรับทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน, Hybrid และ Electric Vehicle Platform ใหม่นี้จะทำให้รถมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย (เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใน) และมีน้ำหนักเบาลง แต่แข็งแกร่งขึ้น
ภาพรวมหลักๆ ของ Honda City ในไทย ปัจจุบัน
- โฉมปัจจุบัน เป็นรุ่นที่ 7 (GN Series) ซึ่งเปิดตัวในไทยปลายปี 2562 (2019) และได้รับการปรับโฉมย่อย (Minor Change) ไปเมื่อกลางปี 2566 สำหรับรุ่นซีดาน และต้นปี 2567 สำหรับรุ่น Hatchback
- เครื่องยนต์ มีให้เลือก 2 รูปแบบหลัก ได้แก่:
- 1.0 VTEC TURBO เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 988 ซีซี พร้อมเทอร์โบ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิด 173 นิวตันเมตร เน้นความประหยัดน้ำมันและอัตราเร่งที่ดี เหมาะกับการขับขี่ในเมือง
- e:HEV (Full Hybrid) เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC Atkinson Cycle ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และเกียร์ E-CVT ให้กำลังรวมสูงสุด 109 แรงม้า (จากมอเตอร์ไฟฟ้า) และแรงบิด 253 นิวตันเมตร (จากมอเตอร์ไฟฟ้า) โดดเด่นเรื่องอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม (สูงสุด 27.8 กม./ลิตร)
- ระบบความปลอดภัย รุ่นที่ปรับโฉมมาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย (ยกเว้นบางรุ่นเริ่มต้น) ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชันต่างๆ เช่น
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) หรือ ACC with LSF (สำหรับรุ่น e:HEV RS)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (LCDN)
- สิ่งอำนวยความสะดวก
- หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto (แบบไร้สายในบางรุ่น)
- ช่องเชื่อมต่อ USB (รวมถึง USB Type-C)
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- เบาะนั่งแบบ ULTR (สำหรับรุ่น Hatchback) ที่สามารถปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ
รุ่นย่อยและราคาโดยประมาณ (ณ ปัจจุบัน อาจมีการเปลี่ยนแปลง):
- Honda City Sedan (ซีดาน 4 ประตู:
- เริ่มต้นประมาณ 599,000 – 799,000 บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและเครื่องยนต์)
- มีรุ่นย่อยตั้งแต่ S, V, SV, RS และ e:HEV SV, e:HEV RS
- Honda City Hatchback (แฮทช์แบ็ก 5 ประตู)
- เริ่มต้นประมาณ 599,000 – 829,000 บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและเครื่องยนต์)
- มีรุ่นย่อยตั้งแต่ S, V, SV, RS และ e:HEV SV, e:HEV RS
- ล่าสุดมีรุ่นพิเศษ DRIVAL 2025 ที่มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ตลิมิเต็ด ราคา 829,000 บาท (จำกัด 1,000 คัน)