จีนแชมป์ส่งออกรถยนต์โลก 3 ปีซ้อน : จาก “โรงงานโลก” สู่การท้าชิง “แบรนด์ระดับโลก”

จีนแชมป์ส่งออกรถยนต์โลก 3 ปีซ้อน : จาก “โรงงานโลก” สู่การท้าชิง “แบรนด์ระดับโลก”
จากรถราคาถูก สู่เวทีโลก
หากย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน คำว่า “รถยนต์จีน” ในสายตาผู้บริโภคโลกอาจหมายถึงสินค้าราคาถูก คุณภาพพอใช้ แต่ยังตามหลังญี่ปุ่นหรือเยอรมนีหลายก้าว แต่ปัจจุบัน ภาพนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง – จีนไม่เพียงแค่ครองอันดับหนึ่งด้านการผลิตรถยนต์ หากยังกลายเป็น ประเทศที่ส่งออกรถยนต์มากที่สุดในโลกต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน
ปี 2025 นี้ ตัวเลขส่งออกของจีนคาดว่าจะทะลุ 6.2 ล้านคัน ทิ้งห่างญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้อย่างชัดเจน แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ยังมีคำถามที่หลายฝ่ายสงสัยว่า : นี่คือสัญญาณว่ารถยนต์แบรนด์จีนกำลังครองโลกแล้วจริงหรือ? หรือเป็นเพียง “ชัยชนะเชิงปริมาณ” ที่ยังมีโจทย์ต้องแก้ในเชิงคุณภาพ?
ก้าวย่างสำคัญ : จาก “ผลิตมากที่สุด” → “ครองตลาดในบ้าน” → “ส่งออกอันดับหนึ่ง”
-
ปี 2009 : จีนผลิตรถยนต์ทะลุ 10 ล้านคัน แซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลก
-
ปี 2021–2024 : การเติบโตของรถพลังงานใหม่ (NEV) ทำให้แบรนด์จีนกลับมาเป็นผู้นำตลาดในประเทศ จากส่วนแบ่งเพียง 40% ขยับขึ้นมาเกิน 60% ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
-
ปี 2025 : การส่งออกทะยานต่อเนื่อง ไล่แซงเกาหลี เยอรมนี ญี่ปุ่น กลายเป็นแชมป์โลกด้านการส่งออก
นี่คือการ “อัปเกรดสามขั้น” ที่ทำให้อุตสาหกรรมจีนไม่เพียงยืนได้ในบ้าน แต่ยังขยับออกไปแข่งในตลาดโลก
เทียบชั้นญี่ปุ่น–เยอรมนี : ยังมีช่องว่างให้เติมเต็ม
แม้จีนส่งออกมากที่สุด แต่เมื่อวัด “สัดส่วนการส่งออกต่อการผลิต” (Export Ratio) ยังต่ำกว่าเจ้าเก่า
-
เยอรมนี : 80%
-
ญี่ปุ่น/เกาหลีใต้ : 50%+
-
จีน : เพิ่งขึ้นมาประมาณ 20%
เหตุผลสำคัญคือ จีนมีตลาดในประเทศใหญ่มหาศาล (ขายได้กว่า 25 ล้านคัน/ปี) ทำให้แม้ส่งออกหลายล้านคัน แต่สัดส่วนยังต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
แต่ข้อดีคือ จีนมี ตลาดภายในแข็งแกร่ง + อุตสาหกรรมการผลิตครบวงจร นั่นหมายความว่า จีนไม่จำเป็นต้องพึ่งการส่งออกเพียงอย่างเดียวเพื่อยืนระยะในเวทีโลก
สามความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ตัวเลขส่งออกของจีน”
① การส่งออกรวมทั้งหมด ≠ การส่งออกของแบรนด์จีน
ในตัวเลขรวม ยังมีรถจากค่ายต่างชาติที่ผลิตในจีน เช่น Tesla, Ford, Kia คิดเป็นราว 16.5% ของยอดส่งออกปี 2024 ดังนั้น รถแบรนด์จีนแท้จริงอยู่ที่ประมาณ 490 ล้านคัน
② การส่งออกของแบรนด์จีน ≠ ยอดขายจริงในตลาดโลก
ปี 2024 รถแบรนด์จีนส่งออก ~410 ล้านคัน แต่ยอดขายจริงในต่างประเทศมีเพียง ~260 ล้านคัน สาเหตุจากสต็อก/ในระหว่างขนส่ง, การขายติดแบรนด์ต่างชาติ และข้อมูลตลาดที่ไม่ครบถ้วน
③ ส่งออกมากที่สุด ≠ กำไรสูงที่สุด
ราคาส่งออกรถจีนเฉลี่ยปี 2025 อยู่ที่ ~17,000 ดอลลาร์/คัน ขณะที่เกาหลีเฉลี่ย 25,000 ดอลลาร์ ญี่ปุ่น 26,000 ดอลลาร์ และเยอรมนีสูงถึง 46,000 ดอลลาร์ นั่นสะท้อนว่าจีนยังยืนด้วยกลยุทธ์ “ราคาถูกเพื่อชิงตลาด” มากกว่าการสร้างกำไร
บทเรียนจากญี่ปุ่นและเกาหลี : เส้นทางที่เคยถูกเดินมาแล้ว
เส้นทางที่จีนกำลังเดินนั้น คล้ายกับญี่ปุ่นและเกาหลีในอดีต :
-
เริ่มต้นด้วย รถราคาถูกคุณภาพใช้ได้ เพื่อบุกตลาดโลก
-
เมื่อได้ฐานลูกค้าแล้ว จึงค่อยลงทุนโรงงานต่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง และสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง
ต่างกันตรงที่ จีนมี “รถพลังงานใหม่” เป็น ตัวเร่ง ให้เดินทางไกลได้เร็วกว่า
อีก 5 ปีข้างหน้า : จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์จีนคาดว่า การส่งออกจะถึง จุดสูงสุดภายใน 5 ปี หลังจากนั้น การเติบโตจะเปลี่ยนรูปแบบ จากการ “ส่งออกจากจีน” → การ “ผลิตและขายในต่างประเทศ” ผ่านเครือข่ายโรงงานที่กำลังผุดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ไทย บราซิล เม็กซิโก หรือฮังการี
นี่คือจังหวะสำคัญที่จีนต้องพิสูจน์ว่า จะก้าวพ้นจาก “Made in China” ไปสู่ “Made by China” และท้ายที่สุด “Loved by the World”
ความท้าทาย : เส้นทางจากปริมาณสู่คุณภาพ
-
กำไรและภาพลักษณ์แบรนด์ – ต้องเลิกขายถูกอย่างเดียว แต่ยกระดับคุณค่าและกำไร
-
การยอมรับในตลาดตะวันตก – ปัจจุบันความนิยมในยุโรปและอเมริกายังต่ำเมื่อเทียบกับเอเชียและลาตินอเมริกา
-
แรงกดดันจากนโยบาย – มาตรการภาษี ความปลอดภัย และข้อกำหนดด้านข้อมูลในสหรัฐฯ–ยุโรปเริ่มเข้มข้น
-
การแข่งขันในบ้าน – สงครามราคาที่รุนแรงในจีนอาจทำให้บางค่ายอ่อนแรงก่อนจะไปเติบโตในต่างประเทศ
บทสรุป : แชมป์โลก แต่ยังไม่ใช่เส้นชัย
จีนพิสูจน์แล้วว่าเป็น มหาอำนาจการผลิตยานยนต์ ด้วยทั้งปริมาณและเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่การจะกลายเป็น มหาอำนาจแบรนด์ยานยนต์ระดับโลก ยังต้องการเวลาและการสร้างคุณค่าเกินกว่าตัวเลข
การครองอันดับหนึ่งด้านการส่งออก คือเพียงบทแรก
แต่เส้นทางสู่การเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของโลก” เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น