ปัญหารถจีนเทคโนโลยีวิ่งไว แต่คุณภาพวิ่งไม่ทัน เมื่อรถกลายเป็นสนามทดลองจริงของผู้บริโภค

ปัญหารถจีนเทคโนโลยีวิ่งไว แต่คุณภาพวิ่งไม่ทัน เมื่อรถกลายเป็นสนามทดลองจริงของผู้บริโภค
Spread the love
Advertisement Advertisement

รถจีน “โตไว” จนกลายเป็น “โตเกินไป”

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม มีบล็อกเกอร์รายหนึ่งชี้ให้เห็นว่า “ค่ายรถจีนกำลังก้าวเร็วเกินไป” จนทำให้ “ความทนทานของตัวรถ” กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการขาดกระบวนการ D/P FMEA (Failure Mode and Effects Analysis – การวิเคราะห์โหมดความล้มเหลวและผลกระทบ) ที่เป็นหัวใจของการประกันคุณภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์

ช่วง 3–5 ปีหลังมานี้ รถยนต์จีนโดยเฉพาะพวก BEV (รถไฟฟ้าล้วน) และ REEV/PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) มีการพัฒนาเร็วแบบ “ก้าวกระโดด” จากเดิมที่คนยังมองว่าเป็นของรอง ๆ กลับกลายเป็นผู้นำโลกในเวลาแค่ไม่กี่ปี

แบรนด์จีนบางเจ้าก้าวไปถึงจุดที่ขายได้ในยุโรป ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย)

แต่ปัญหาคือ — ความเร็วระดับนี้ ไม่ใช่ทุกระบบในองค์กรจะวิ่งตามทัน โดยเฉพาะ “ระบบประกันคุณภาพและความทนทานของชิ้นส่วน”

D/P FMEA คืออะไร ?

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจคำที่บล็อกเกอร์พูดถึงกันก่อน เขาใช้คำว่า D/P FMEA หมายถึงสองกระบวนการที่สำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์

  • DFMEA (Design Failure Mode and Effects Analysis) คือการวิเคราะห์ตั้งแต่ขั้นตอน “ออกแบบ” เพื่อหาว่าชิ้นส่วนที่ออกแบบมาอาจพังหรือทำงานผิดพลาดได้อย่างไร เช่น ระบบชาร์จไฟแรงดันสูงอาจร้อนเกิน, กล่องควบคุมมอเตอร์อาจช็อต, หรือแม้แต่บานพับประตูที่เปิดปิดซ้ำ ๆ แล้วเกิดเสียง กระบวนการนี้ช่วย “ป้องกันปัญหาก่อนจะเกิด”

  • PFMEA (Process Failure Mode and Effects Analysis) คือการวิเคราะห์ในขั้นตอน “การผลิต” เช่น สายการผลิตประกอบแบตเตอรี่ ถ้ามีแรงกดมากไป อาจทำให้เซลล์บิดงอและเสี่ยงไฟไหม้ หรือขั้นตอนเชื่อมอลูมิเนียมผิดอุณหภูมิอาจทำให้โครงสร้างรถไม่แข็งแรง  กระบวนการนี้ช่วย “ควบคุมคุณภาพในโรงงาน”

สองอย่างนี้เป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของระบบคุณภาพรถยนต์ทั่วโลก แต่บล็อกเกอร์บอกว่า “หลายค่ายจีน โดยเฉพาะหน้าใหม่ ยังทำไม่ครบหรือไม่ลึกพอ” เพราะต้องรีบออกโมเดลใหม่ทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อแย่งยอดขาย

จากรถน้ำมัน 6 ปี → รถไฟฟ้า 6 เดือน

บล็อกเกอร์รายนี้เปรียบเทียบชัดเจนว่า

“รถน้ำมันแบบดั้งเดิมมีการออกแบบชิ้นส่วนให้มี อายุการใช้งานเฉลี่ย 6 ปีขึ้นไป แต่รถไฟฟ้าจีนปัจจุบันบางรุ่นอยู่ในวงจรชีวิตเพียง 6 เดือนก็มีรุ่นไมเนอร์เชนจ์ แล้ว 1 ปีต่อมาก็มีโฉมใหม่”

สิ่งที่ตามมาคือ…

  • วิศวกรยังไม่ทันเก็บข้อมูลระยะยาวจากรุ่นก่อนหน้า ก็ต้องเร่งออกแบบรุ่นต่อไปแล้ว

  • ชิ้นส่วนบางอย่างยังไม่ผ่านการทดสอบการใช้งานในระยะยาว (Durability Test) แต่ถูกนำไปใช้ในรถรุ่นใหม่

    Advertisement Advertisement
  • ซัพพลายเออร์บางรายยังไม่ทันปรับกระบวนการผลิตให้เสถียร ก็โดนเปลี่ยนรุ่น เปลี่ยนแบบ เปลี่ยนผู้ผลิต

ผลคือ รถจีนบางรุ่นแม้จะสวย ล้ำ และราคาดีมาก แต่เวลาใช้งานจริงกลับเริ่มมีเสียงบ่นเรื่อง “ความทน” “เสียงรบกวน” “วัสดุเสื่อมไว” หรือ “ระบบไฟฟ้ามี Bug” ภายในเวลาแค่ปี–สองปี

ตัวอย่างปัญหาที่เริ่มโผล่

ในโลกออนไลน์จีนและกลุ่มผู้ใช้จริง มีการพูดถึงกรณีต่าง ๆ เช่น

  • รถบางรุ่น ฝาท้ายไฟฟ้าเสีย ทั้งที่เพิ่งใช้ไม่ถึงปี

  • ระบบจอ Infotainment หน่วงหรือค้างบ่อย หลังอัปเดตซอฟต์แวร์

  • ชิ้นส่วนตกแต่งในห้องโดยสาร เกิดเสียงกรอบแกรบ เมื่อเจอแดดแรงหรือขับทางขรุขระ

  • ระบบเซนเซอร์หรือกล้องรอบคัน ให้สัญญาณเตือนผิดพลาด หลังใช้งานไปสักระยะ

แม้จะไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงถึงชีวิต แต่พอรวมกันหลายอย่าง ก็เริ่มทำให้ผู้ใช้บางส่วนรู้สึกว่า “รถไฟฟ้าจีนสวยแต่ไม่อึด”

ทำไมค่ายใหญ่ “อยู่ได้” แต่ค่ายใหม่ “เสี่ยง”

ความคิดเห็นของชาวเน็ตส่วนใหญ่ตรงกันว่า

  • ค่ายใหญ่ดั้งเดิม (เช่น SAIC, GAC, Geely, Changan) มีประสบการณ์จากยุครถน้ำมัน จึงเข้าใจระบบ DFMEA/PFMEA ดี สามารถวางแผนความทนได้ตั้งแต่ต้น แม้จะเปิดตัวเร็ว แต่ก็ยังมีทีม R&D ที่เน้นความมั่นคงของคุณภาพ

  • ค่ายใหม่หรือสตาร์ทอัพ (เช่น NIO, XPeng, Li Auto, Zeekr, AITO ฯลฯ) อยู่ในภาวะ “ต้องรีบโต” เพื่อเอาชนะตลาด ทำให้ต้องเร่งพัฒนา อัปเดตรถถี่ และแข่งขันด้วยนวัตกรรมมากกว่าความเสถียร

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “สมการที่ไม่สมดุล”ความเร็วของเทคโนโลยี >  ความเสถียรของระบบ และนั่นคือจุดที่คำว่า “步子迈得太大” (ก้าวเร็วเกินไป) กลายเป็นคำเตือนแรงสำหรับวงการรถจีน

ปัญหาในอนาคต  อะไหล่จะอยู่ไหม ?

อีกประเด็นที่คนจีนกังวลมากคือ “ปัญหาอะไหล่” บางคนบอกว่า รถรุ่นเดียวกันแต่ผลิตคนละปี “ใช้ชิ้นส่วนคนละแบบ” เช่น ไฟท้าย เปลี่ยนขั้วสายไฟเล็กน้อย, มือจับประตูเปลี่ยนดีไซน์, หรือแม้แต่กล่องควบคุมเปลี่ยนเวอร์ชันโดยไม่แจ้งลูกค้า ทำให้หลังจาก 3–4 ปี เมื่อรถหมดประกันแล้ว การหาอะไหล่ตรงรุ่นอาจกลายเป็น “ฝันร้าย”

ถ้ามีการเปลี่ยนรุ่นย่อยถี่เกินไปโดยไม่มีการจัดการข้อมูลอะไหล่กลาง (Part Management System) ที่ดี — ซัพพลายเออร์เดิมอาจหยุดผลิตก่อนที่รถจะหมดอายุการใช้งาน

บทสรุป  เมื่อ “เร็ว” ไม่ได้แปลว่า “ดี”

ทั้งหมดนี้คือบทเรียนสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนในปี 2025

  • การพัฒนาเร็ว ทำให้จีนขึ้นแท่นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยี

  • แต่การละเลย DFMEA/PFMEA และการทดสอบความทนระยะยาว อาจกลายเป็น “จุดเปราะบาง” ที่ทำให้ชื่อเสียงในอนาคตสั่นคลอน

สุดท้าย การ “ก้าวไว” ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้อง “รู้จังหวะจะก้าว” รถที่ดีไม่ใช่รถที่อัปเดตเร็วที่สุด — แต่คือรถที่ “ผู้ใช้มั่นใจได้ว่ายังขับได้ดีในอีก 10 ปีข้างหน้า”

Cr. Mydrive

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้