TOYOTA เปิดตัวกระบะ Tacoma พลังไฮโดรเจน H2-Overlander Concept เติมเชื้อเพลิง 5 นาที วิ่งแบบไฟฟ้า
						
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  
 
Toyota Tacoma H2-Overlander Concept เปิดตัวที่ SEMA 2025
รถกระบะต้นแบบพลังไฮโดรเจน 547 แรงม้า สำหรับอนาคตของการลุยทางไกลไร้มลพิษ
ไฮโดรเจน + มอเตอร์ไฟฟ้า 547 แรงม้า
กำเนิดแนวคิด “Overlanding แบบปล่อยไอน้ำเท่านั้น”
Toyota เปิดตัว “Tacoma H2-Overlander Concept” อย่างเป็นทางการในงาน SEMA Show 2025 ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โดยพัฒนาบนพื้นฐาน Toyota Tacoma รุ่นใหม่ (TNGA-F Platform) แต่ปรับระบบขับเคลื่อนเป็นไฮโดรเจน Fuel Cell ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ส่งกำลังรวม 547 แรงม้า พร้อมแรงบิดแบบทันทีตามลักษณะของรถไฟฟ้า
ระบบขับเคลื่อนประกอบด้วย
- 
เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Stack) รุ่นที่ 2 ของ Toyota Mirai
 - 
ถังเก็บไฮโดรเจน 3 ถัง ฝังในเฟรมรถ ความจุรวม 6 กิโลกรัม
 - 
มอเตอร์ไฟฟ้าคู่: หน้า 305 PS / หลัง 255 PS
 - 
ชุดแบตเตอรี่เสริม Li-ion 24.9 kWh
 
ด้วยรูปแบบการทำงานของ Fuel Cell รถจึงสามารถ “เติมเชื้อเพลิง” ได้ในเวลาใกล้เคียงรถน้ำมัน แต่ให้ลักษณะการขับขี่แบบ EV เงียบและตอบสนองไว โดยไม่มีการปล่อย CO₂, NOx หรืออนุภาคเขม่าท่อไอเสีย ผลลัพธ์เดียวจากปลายท่อคือ “ไอน้ำบริสุทธิ์”
ชุดขับเคลื่อนส่งกำลังผ่าน
- ด้านหน้า: Limited-Slip Differential
 - ด้านหลัง: Electronic Rear Diff Lock
 - ระบบ 4WD เต็มรูปแบบ รองรับงานลุยทางไกล / Overlanding
 

การออกแบบและภารกิจของ TRD ในโปรเจกต์นี้
รถโชว์ หรือเวทีทดสอบแนวคิด?
โครงการนี้เป็นผลงานของ TRD (Toyota Racing Development) ร่วมกับทีมวิศวกรจาก Toyota North America R&D ในรัฐแคลิฟอร์เนียและนอร์ทแคโรไลนา โดยได้รับมอบหมายให้สร้างรถกระบะที่ “แสดงศักยภาพของพลังงานไฮโดรเจนในงานออฟโรดจริง” พร้อมแสดงภาพอนาคตของ Toyota ภายใต้แนวคิด “Powered by Possibility”
Craig Cauthen ผู้จัดการฝ่าย Emerging Technologies ของ TRD ระบุว่า
“เราไม่ได้สร้างรถสำหรับจอดโชว์ แต่ต้องการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยี Fuel Cell สามารถเข้ากับ DNA ของ TRD ได้จริง ทั้งสมรรถนะ ความทนทาน และการใช้งานนอกเมืองแบบยาวนาน”
ความท้าทายของทีม TRD คือการ เปลี่ยนรถกระบะเครื่องยนต์เบนซินไปเป็นรถไฮโดรเจน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ต้องปรับเฟรม, ระบบระบายความร้อน, ระบบส่งกำลัง และอินทิเกรตถังไฮโดรเจนโดยไม่กระทบจุดศูนย์ถ่วงหรือความทนทานของตัวรถ
ทีมใช้
- CAD (Computer-Aided Design)
 - 3D Printing
 - ชิ้นส่วน TRD ผลิตเฉพาะโปรเจกต์
 - Tailgate แบบ Robo-formed พัฒนาใหม่
 
รถจึงไม่ใช่ “งานแต่งโชว์” แต่เป็นการทดลองทางวิศวกรรมเต็มระบบ
เทคโนโลยี Fuel Cell และเหตุผลที่ Toyota เลือกใช้
มากกว่าความสะอาด — คือความเหมาะสมกับภารกิจ “เดินทางไกล” Toyota เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ที่ลงทุนในเทคโนโลยี Fuel Cell มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และเป็นผู้ผลิตรถไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์รายแรกของโลก (Mirai) สาเหตุที่บริษัทผลักดันเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง มีเหตุผลหลักคือ
- 
เติมเชื้อเพลิงรวดเร็ว
– เวลาเติมไฮโดรเจนเฉลี่ย 3–5 นาที ต่อตัวถัง 5–6 กก.
– เทียบเท่าน้ำมัน แต่เดินทางเงียบแบบรถไฟฟ้า - 
น้ำหนักเบากว่าแบตเตอรี่สำหรับรถขนาดใหญ่
– รถกระบะ, รถบรรทุก, รถโดยสาร ไม่ต้องแบกแบตเตอรี่ 100–200 kWh - 
เหมาะสำหรับงานใช้งานไกล + ไฟฟ้าสำรอง
– ใช้ Fuel Cell จ่ายไฟต่อเนื่องได้ ไม่ต้องรอชาร์จแบต - 
สอดคล้องกับแนวคิด Multi-Pathway Strategy ของ Toyota
– ไม่พึ่งพา BEV เพียงอย่างเดียว 
Fuel Cell ใช้การผสานไฮโดรเจนกับออกซิเจนในอากาศ เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ผลลัพธ์คือ “ไฟฟ้า + น้ำ” ทำให้เป็นเทคโนโลยีพลังสะอาดที่แท้จริง ไม่ต้องเผาไหม้ ปราศจากเขม่า
ระบบดักน้ำ ฟีเจอร์ที่ไม่มีในรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่น
น้ำจากไอเสีย… ถูกเก็บไว้ใช้งานจริง Tacoma H2-Overlander มาพร้อมฟีเจอร์สำคัญที่กำลังขอสิทธิบัตร คือ TRD Exhaust Water Recovery System ระบบดักน้ำที่ปล่อยจากเซลล์เชื้อเพลิง ผ่านการกรองและเก็บในถังภายในรถ
- 
น้ำที่ได้เป็น “น้ำกลั่น” ไม่มีแร่ธาตุ
 - 
ใช้ล้างภาชนะ, ล้างตัว, ล้างอุปกรณ์ได้
 - 
ปริมาณน้ำขึ้นกับการใช้งานรถในแต่ละวัน
 - 
Toyota ไม่แนะนำให้ดื่มโดยตรง แต่สามารถกรองเพิ่มได้
 
นี่คือความแตกต่างระหว่าง “รถขับเคลื่อนพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่” (BEV) ซึ่ง ไม่มีของเสียใด ๆ ที่สามารถนำกลับใช้ประโยชน์ได้, ในขณะที่ FCEV มีผลพลอยได้ที่ใช้งานได้จริงระหว่างตั้งแคมป์หรือเดินทางไกล
โครงสร้างช่วงล่างและอุปกรณ์สำหรับงาน Overlanding
รองรับการใช้งานจริง ไม่ใช่รถโชว์สตูดิโอ เพื่อตอบโจทย์งาน Overlanding ระยะไกล TRD จึงปรับโครงสร้างช่วงล่างใหม่ทั้งหมด ปรับแต่งหลักประกอบด้วย
- ชุด TRD Long-Travel Suspension
 - โช้ก Fox Performance Elite 2.5 (พัฒนาจาก Tundra)
 - ดิสก์เบรกหน้าอัปเกรดจาก Toyota Tundra
 - ล้อ 17×8.5 นิ้ว คู่กับยาง All-Terrain 35×12.5R17
 - ระบบคูลลิ่ง Fuel Cell + EV แบบเฉพาะทาง
 
ตัวถังติดตั้งแคมเปอร์หลังแบบน้ำหนักเบา (รีไซเคิลคาร์บอนไฟเบอร์) พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งครบชุด
- 
จุดยึด Recovery Board
 - 
วินช์
 - 
Swing-out คู่หลัง
 - 
ไฟส่องพื้นที่ตั้งแคมป์
 - 
Bumper เสริมพร้อมจุดลาก
 
สรุปทิศทางพลังงานของ Toyota: Multi-Pathway Strategy
ไฮโดรเจนเป็น “หนึ่งในทางเลือก” ไม่ใช่คำตอบเดียว Toyota ประกาศชัดในเวที SEMA 2025 ว่าอนาคตของบริษัทไม่ได้พึ่ง BEV เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสมดุลของพลังงานหลายประเภท ได้แก่
- ICE (เบนซิน/ดีเซลสังเคราะห์)
 - HEV (ไฮบริด)
 - PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด)
 - BEV (ไฟฟ้าแบตเตอรี่)
 - FCEV (ไฮโดรเจน Fuel Cell)
 
Tacoma H2-Overlander จึงเป็น “ตัวอย่าง” ของยานพาหนะที่ผสานคุณสมบัติของ BEV (แรงบิด, ความเงียบ) กับความสะดวกแบบรถใช้น้ำมัน (เติมเชื้อเพลิงเร็ว, น้ำหนักเบากว่าแบตใหญ่)
Mike Tripp รองประธาน Toyota Marketing ให้ความเห็นว่า
“รถคันนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อโชว์ความแปลกใหม่ แต่เพื่อย้ำว่าทางเลือกพลังงานของอนาคตไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว ไฮโดรเจนคือส่วนหนึ่งของความเป็นไปได้จริง”
มุมมองต่อโอกาสผลิตจริง
สัญญาณบวกบางอย่างเริ่มเห็น แต่ยังไม่ใช่ในระยะสั้น แม้ Tacoma H2-Overlander จะถูกระบุเป็น “โปรเจกต์รถต้นแบบ” และไม่มีแผนผลิตจริงในตอนนี้ แต่มีปัจจัยที่น่าสนใจ 3 ประการ
- Toyota มีสายการผลิตระบบ Fuel Cell เชิงพาณิชย์แล้ว (Mirai Gen2)
 - พื้นฐาน Tacoma ใช้แพลตฟอร์ม TNGA-F เหมือน Tundra / Land Cruiser
 - สหรัฐเริ่มผลักดันโครงสร้างพื้นฐานไฮโดรเจนสำหรับรถบรรทุกและรถเชิงพาณิชย์
 
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรค
- โครงสร้างสถานีไฮโดรเจนยังมีจำกัด
 - ต้นทุนถังไฮโดรเจนแรงดันสูง (700 bar) สูงกว่าระบบ BEV
 - ตลาดผู้ใช้รถกระบะเชิงพาณิชย์ยังเชื่อมั่นดีเซลมากกว่าไฟฟ้า
 
ปัจจุบัน Tacoma H2-Overlander ถูกจัดแสดงในฐานะ “เวทีทดสอบ” และยังไม่มีการยืนยันระยะเวลาเข้าสู่ไลน์ผลิตจริง

