“แข่งกันจนพัง!” – สี จิ้นผิง เตือนอุตสาหกรรมยานยนต์จีน เข้าควบคุมสงครามราคา
จีนเบรกสงครามราคา EV! รัฐบาลลั่น “ถ้าค่ายรถไม่หยุด เราจะจัดการเอง”
ท่ามกลางกระแสรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกทะลุตลาดโลก รัฐบาลจีนออกมา “เบรกแรง” หลังสถานการณ์เริ่มลุกลามเกินควบคุม สงครามราคาที่ทำให้ผู้บริโภคยิ้ม แต่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนเสี่ยงล้มระเนระนาดจากภายใน
สี จิ้นผิง เตือน “แข่งกันจนพัง”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวถึงภาวะ “Involution” หรือการแข่งกันลงทุนโดยไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรมของจีน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า โดยชี้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดูรุนแรงแต่ให้ผลตอบแทนน้อยลงทุกที
แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นภาคธุรกิจแห่งอนาคต แต่การที่แต่ละแบรนด์แข่งกันทุ่มราคา ลดต้นทุน กดราคาขาย จนไม่เหลือกำไร กลับกำลังพาอุตสาหกรรมไปสู่ทางตัน
ลดราคาแรง…เกินไปหรือเปล่า?
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ BYD Seagull รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่นยอดนิยมที่ขายในจีนเพียง 55,800 หยวน (ราว 7,800 ดอลลาร์) ขณะที่รุ่นดัดแปลงเดียวกันในยุโรปภายใต้ชื่อ Dolphin Surf กลับตั้งราคาไว้สูงถึง 26,000 ดอลลาร์
แม้จะมีภาษีนำเข้าและต้นทุนขนส่ง แต่ช่องว่างราคานี้ก็สะท้อนชัดว่า ตลาดจีนกำลัง “แข่งกันตัดราคา” อย่างหนัก โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ส่วนลดเฉลี่ยของรถ EV ในจีนเมื่อเดือนเมษายน 2025 สูงถึง 17% ขณะที่ปีก่อนหน้าอยู่เพียง 8%
โรงงานล้น…รถไม่มีคนซื้อ
สงครามราคาที่ดุเดือดไม่เพียงกดดันรายได้ของค่ายรถ แต่ยังนำไปสู่ปัญหา กำลังการผลิตล้นเกิน บางโรงงานในจีนมีการใช้งานเครื่องจักรเพียง 2% หรือแทบไม่ผลิตเลย
ส่งผลให้รัฐบาลจีนต้องเชิญค่ายรถใหญ่อย่าง BYD เข้าพบ พร้อมตักเตือนเรื่อง การผลิตมากเกินไป และพิจารณา แก้กฎหมายการตั้งราคา เพื่อป้องกันไม่ให้ค่ายรถขายรถต่ำกว่าต้นทุนในเชิงกลยุทธ์อีกต่อไป
ส่งออกคือทางรอด?
เพื่อแก้ปัญหา “ผลิตเกิน-ขายไม่ออก” หนึ่งในทางออกที่รัฐบาลจีนสนับสนุนคือ การเร่งส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังต่างประเทศ ซึ่งเริ่มเห็นผลแล้ว ปัจจุบัน รถยนต์จีนมีส่วนแบ่งตลาดในยุโรปอยู่ที่ 5.1% ของรถใหม่ที่จดทะเบียน
บทสรุป
รัฐบาลจีนเริ่มออกแรงควบคุมอุตสาหกรรม EV ที่เคยเติบโตเร็วแบบไร้เบรก เพราะหากปล่อยไว้ อาจกลายเป็น “ฟองสบู่” ลูกใหม่ที่ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจในประเทศและชื่อเสียงระดับโลกของแบรนด์จีน
ใครจะอยู่ ใครจะไป ในยุคที่ “ราคาไม่ใช่ทุกอย่าง” แต่ “กำไร” กลับสำคัญกว่า… โลกกำลังจับตาดู
