Advertisement

Advertisement

Cruise Origin แท็กซี่ไฟฟ้าไร้คนขับ ระดับ L5 หนุนโดย GM และ HONDA เตรียมผลิต ใช้งานจริงเร็วๆนี้ ในสหรัฐฯ

Cruise Origin แท็กซี่ไฟฟ้าไร้คนขับ ระดับ L5 หนุนโดย GM และ HONDA เตรียมผลิต ใช้งานจริงเร็วๆนี้ ในสหรัฐฯ

Advertisement

Advertisement

วันที่ 16 มิถุนายน Cruise บริษัท เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติภายใต้บริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ประกาศว่าบริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อระยะยาวหลายปีมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์จากฝ่ายการเงินของเจนเนอรัล มอเตอร์ส เพื่อทดลอง และ ผลิตรถยนต์ไร้คนขับ

หนึ่งในโมเดลที่ประสบความสำเร็จ และพร้อมต่อยอดเพื่อใช้งานจริงๆนั้นคือ Cruise Origin ซึ่งกำลังจะผลิตประมาณ 100 คันแรก ประที่โรงงาน Warren ในรัฐมิชิแกน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในฤดูร้อนปี 2564 และนำไปทดสอบ

ในขณะเดียวกัน เจเนอรัล มอเตอร์ส กล่าวว่า จะเพิ่มการลงทุนในรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง โดยมีแผนจะลงทุน 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนหน้านี้

Cruise Origin จะได้รับการทดสอบที่สนามทดสอบ Milford ของ GM ซึ่งจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไร้คนขับ เน้นด้านขนส่งสาธารฯะมากกว่า

Dan Ammann ซีอีโอของ Cruise กล่าวว่าคาดว่าจะเริ่มการผลิต Origin จำนวนมากในปี 2023 ที่โรงงาน Hamtramke ของ GM ในดีทรอยต์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงงาน ZERO)

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนของปีนี้ Cruise ได้รับใบอนุญาตจาก California Public Utilities Commission (CPUC) เพื่อให้บริการผู้โดยสารรถยนต์ไร้คนขับ ในอนาคต เมื่อ Origin ได้รับใบอนุญาตใช้ถนนที่ออกโดย US Highway Safety Administration (NHTSA) จะทำให้ยานพาหนะไร้คนขับ ถูกกฏหมาย และ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

Cruise Origin ติดตั้ง Autopilot ระดับ L5 สามารถขับเคลื่อนโดยไม่มีพวงมาลัย และไม่มีคนขับ จุได้ 6 ที่นั่ง และ เป็นรถไฟฟ้า 100% พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก แท่งชาร์จ USB และ อื่นๆ พร้อมอายุการใช้งานกว่า 1.6 ล้านกม.

Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
  • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
  • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
  • ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
  • ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City

Autohome.com.cn

Advertisement

Advertisement

ใส่ความเห็น

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้