เทคโนโลยี EREV หรือ REEV กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในรถยนต์ไฟฟ้าช่วงขยาย

เทคโนโลยี EREV (Extended-Range Electric Vehicle) ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง พร้อมบุกตลาดด้วยโมเดลใหม่และระบบติดตั้งเสริม
หลังจากเคยเกือบสูญพันธุ์ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าระยะขยาย (EREV) หรือที่รู้จักกันในชื่อรถไฟฟ้าพร้อมเครื่องยนต์ขยายระยะทาง เริ่มกลับมาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในรูปแบบของรถรุ่นใหม่จากค่าย Ford, Mazda, Ram, Genesis, BYD, Deepal และ Leapmotor เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบขับเคลื่อนใหม่ที่สามารถติดตั้งเสริมกับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มีอยู่แล้ว เปลี่ยนรถไฟฟ้าให้กลายเป็นไฮบริดได้ทันที ช่วยลด “ความกังวลเรื่องระยะทาง” ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ของการใช้งาน EV
หลักการทำงานของ EREV (Extended-Range Electric Vehicle)
โครงสร้างระบบหลัก
- มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) – ขับเคลื่อนล้อ 100%
- แบตเตอรี่หลัก (Traction Battery) – จ่ายไฟให้มอเตอร์
- เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) – ใช้ทำหน้าที่เป็น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) เท่านั้น
- เจนเนอเรเตอร์/อินเวอร์เตอร์ – แปลงพลังงานจาก ICE ให้ไปชาร์จแบต
- ระบบควบคุมพลังงาน – สั่งให้ ICE ทำงานเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดหรือเมื่อจำเป็นต้องเพิ่มกำลัง
กระบวนการทำงาน
-
เริ่มต้นขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Mode)
- รถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนมอเตอร์โดยตรง
- เครื่องยนต์ไม่ทำงาน
- เหมือน BEV (รถไฟฟ้าล้วน)
-
เมื่อแบตใกล้หมด
- เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ
- ปั่นกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่ (ผ่านเจนเนอเรเตอร์)
- ไม่ขับล้อ → เพียงแต่ ยืดระยะทาง ให้สามารถขับต่อได้
-
เครื่องยนต์ทำงานในรอบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (Optimal RPM)
- ประหยัดน้ำมัน
- ลดการปล่อย CO₂
-
สามารถเติมน้ำมันแทนการชาร์จไฟได้ชั่วคราว
- เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีสถานีชาร์จ
- แต่ยังใช้พลังไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน
เปรียบเทียบ EREV vs. PHEV
ประเภท | ขับด้วยไฟฟ้า | เครื่องยนต์ขับล้อ | ใช้น้ำมันเมื่อไร | ระยะทางไฟฟ้า |
---|---|---|---|---|
EREV | ✅ 100% | ❌ ไม่ขับล้อ | เมื่อแบตต่ำ/ต้องการระยะเพิ่ม | ยาว (100–150+ กม.) |
PHEV | ✅/❌ สลับกัน | ✅ ขับล้อ | ทำงานร่วมกับมอเตอร์ | สั้น (40–80 กม.) |
จุดเด่นของ EREV
- ไม่มี “range anxiety” แบบ EV ล้วน
- ประหยัดน้ำมันกว่า PHEV เพราะ ICE ทำงานแบบ Generator
- เหมาะกับตลาดที่สถานีชาร์จยังน้อย
- ยืดหยุ่นสูง ติดตั้งบน BEV เดิมได้ (เช่นระบบจาก Horse หรือ ZF)
Horse Powertrain เผยนวัตกรรม Future Hybrid Concept ในงาน Shanghai Auto Show
Horse Powertrain บริษัท JV ระหว่าง Renault และ Geely ได้เปิดตัวระบบ EREV รุ่นใหม่ในชื่อ Future Hybrid Concept เป็นระบบขนาดกะทัดรัดที่สามารถติดตั้งแทนระบบขับเคลื่อนเดิมของ BEV ได้อย่างง่ายดาย
ระบบนี้รวมเครื่องยนต์สันดาป (ICE) มอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์ไว้ในหน่วยเดียว โดยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้ขับเคลื่อนล้อโดยตรง ช่วยเพิ่มระยะทางขับขี่รวมเป็นประมาณ 800 กม. จากเดิม 600 กม. (เพิ่มขึ้น 25%)
ไฮไลต์ของระบบ EREV จาก Horse Powertrain:
- ถังน้ำมัน 25 ลิตร สามารถใช้งานได้หลายสัปดาห์ในการขับขี่ในเมือง
- รองรับเชื้อเพลิงหลากหลาย เช่น เบนซิน, E85, เมทานอล และเชื้อเพลิงสังเคราะห์
- มีบูสเตอร์ 800V รองรับการชาร์จ DC เร็ว
- ขับเคลื่อนสี่ล้อได้ทั้งในโหมด EV และโหมดผสม
- ลดมลพิษได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับไฮบริดทั่วไป
- ออกแบบให้สามารถติดตั้งในรถ BEV เดิมได้โดยแทบไม่ต้องดัดแปลงโครงสร้าง
Horse ตั้งเป้าให้ระบบนี้เข้าสู่ตลาดภายในปี 2028 และได้รับการสนับสนุนจาก Aramco รวมถึงมีแผนผลิตเครื่องยนต์ HR13 สำหรับรถแข่ง Caterham ปี 2026 ด้วย
ZF จากเยอรมนี เปิดตัวระบบ eRE และ eRE+
เพียงไม่กี่วันหลังจาก Horse เปิดตัวระบบของตน ZF ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่จากเยอรมนี ก็ประกาศเริ่มผลิตระบบขยายระยะในปีหน้า
- eRE: เครื่องยนต์ 70-100kW
- eRE+: เครื่องยนต์ 70-150kW พร้อมคลัตช์อัจฉริยะและดิฟเฟอเรนเชียล เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งเป็นเจนเนอเรเตอร์หรือมอเตอร์เสริม
ข้อได้เปรียบของ EREV จากมุมมอง ZF:
- ถูกกว่าและพัฒนาเร็วกว่า PHEV
- ใช้ซัพพลายเชนง่ายกว่า
- ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า PHEV เพราะเครื่องยนต์ทำงานในรอบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างรถ EREV ที่กำลังมา:
- Leapmotor C10 – มีรุ่น REEV ถูกกว่ารุ่น EV ถึง ~$2,000
- Mazda EZ-60 / CX-6e
- Genesis GV70
- BYD Yangwang U8
- Ford – ลงทุนหนักกับ EREV สำหรับรถไซส์กลางและใหญ่ในอเมริกา
- Ram Ramcharger – ใช้เครื่อง V6 Pentastar ขยายระยะขับขี่
- Deepal Hunter K50 – กระบะ 4WD พร้อมมอเตอร์หน้า-หลัง และเครื่องดีเซล 2.0L เป็นเจนเนอเรเตอร์ ชาร์จแบต LFP ขนาด 31.2kWh ระยะทางรวม 900 กม. อัตราสิ้นเปลืองเพียง 1.3L/100km (CLTC)
ความเห็นจากแบรนด์ต่างๆ ต่อ EREV:
- Volkswagen – มองว่าเหมาะกับรถขนาดใหญ่ในจีนและสหรัฐฯ แต่ในยุโรป PHEV ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่า
- GWM – ประธาน Mu Feng ประกาศชัด “Great Wall Motors ยอมตายดีกว่าจะผลิต EREV” โดยชี้ว่าเป็นเทคโนโลยีครึ่งๆ กลางๆ ใช้น้ำมันมากกว่า EV แท้ และมีประสิทธิภาพด้อยกว่าทั้งไฮบริดและ BEV
สรุป
EREV กำลังกลับมามีบทบาทในยุคที่ตลาด BEV เริ่มเติบโตช้าลง โดยเฉพาะในตลาดที่เครือข่ายชาร์จไฟยังไม่สมบูรณ์ เช่น ออสเตรเลียหรืออเมริกา แต่ก็ยังมีเสียงค้านว่าเป็นทางออกชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นในการติดตั้งบนแพลตฟอร์ม BEV เดิม และต้นทุนพัฒนาที่ต่ำกว่า PHEV อาจทำให้ EREV กลายเป็น “ทางเลือกสะพาน” ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง.