สหภาพยุโรปเตรียม “ผ่อนปรน” กฎห้ามรถน้ำมันปี 2035 เปิดทางรถใช้น้ำมันสังเคราะห์–ไบโอเชื้อเพลิง จดทะเบียนได้ต่อหลังปี 2035

สหภาพยุโรปเตรียม “ผ่อนปรน” กฎห้ามรถน้ำมันปี 2035 เปิดทางรถใช้น้ำมันสังเคราะห์–ไบโอเชื้อเพลิง จดทะเบียนได้ต่อหลังปี 2035
สหภาพยุโรป (EU) อาจกลับลำจากนโยบายเดิมที่เคยกำหนดให้ยุติการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป หลังมีรายงานจากสื่อยานยนต์ต่างประเทศที่ได้รับข้อมูลจากกรรมาธิการ EU หลายรายว่า กำลังพิจารณาผ่อนปรนกฎดังกล่าว เปิดทางให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันสังเคราะห์ (e-Fuel) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำหรือใกล้ศูนย์ ยังสามารถขายและจดทะเบียนใหม่ได้หลังปี 2035
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปยังมีความลังเลต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งจากระดับนโยบายประเทศสมาชิก ผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเองที่ยังไม่พร้อมในหลายมิติ
สรุปประเด็นสำคัญ
- EU พิจารณาผ่อนปรนกฎหมายแบนรถ ICE ปี 2035
- หากรถใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือไบโอเชื้อเพลิงแบบปล่อยต่ำ / ปล่อยศูนย์ ยังสามารถจดทะเบียนได้หลังปี 2035
- เยอรมนีกดดันหนัก ขอให้ EU เปิดทางให้เครื่องยนต์สันดาปประสิทธิภาพสูงใช้ต่อได้
- ค่ายรถและผู้เล่นในอุตสาหกรรมหลายรายเห็นว่าโครงสร้างพื้นฐาน EV ยังไม่พร้อม ผู้บริโภคยังลังเล
- ฝั่ง Volvo และ Polestar สนับสนุนการแบน ICE ตามกำหนดเดิม ผลักดันให้ยุโรปเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่ EV
ทำความเข้าใจที่มาของกฎ “ห้ามขายรถน้ำมันปี 2035”
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2023 รัฐสภายุโรปได้ลงมติเห็นชอบกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับสำคัญ กำหนดให้ ห้ามจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) แบบใหม่ ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป เพื่อบีบให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องเปลี่ยนไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีปล่อยมลพิษต่ำอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2024–2025 หลายปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เสียงคัดค้านจากทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐบางประเทศเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนผลักดันให้ EU ต้องหันกลับมาทบทวนรายละเอียดของกฎหมายอีกครั้ง
ทำไม EU ถึงอาจต้องผ่อนปรนกฎปี 2035?
1. ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่สูงเท่าที่คาดหวัง
แม้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในยุโรปจะเติบโตต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ในหลายตลาดเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่ยังกังวลเรื่องราคาแบตเตอรี่ อายุการใช้งาน ค่าบำรุงรักษา และค่าไฟฟ้าที่ผันผวน ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถ EV ยังไม่เกิดขึ้นในวงกว้างเท่าที่ผู้กำหนดนโยบายคาดหวัง
2. โครงสร้างพื้นฐานชาร์จยังไม่ครอบคลุม
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของ EV คือจำนวนสถานีชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือเส้นทางระยะไกล ผู้บริโภคจำนวนมากยังมองว่า “การใช้งานจริงไม่คล่องตัวเท่ารถน้ำมัน” จุดนี้ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปบางส่วนยังไม่พร้อมเปลี่ยนจาก ICE ไปสู่ EV แบบเต็มตัว
3. เสียงคัดค้านจากอุตสาหกรรมยานยนต์และธุรกิจเช่ารถ
ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป รวมถึงบริษัทเช่ารถรายใหญ่ เช่น Sixt ต่างรายงานตรงกันว่า ลูกค้ายังมีทัศนคติที่ระมัดระวังต่อรถไฟฟ้า แม้บริษัทเหล่านี้จะลงทุนใน EV เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่การตอบรับจากฝั่งผู้ใช้จริงยังไม่สูงเท่าที่ควร ส่งผลให้ต้นทุนในการบริหารจัดการฟลีทรถเพิ่มสูงขึ้น และทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ EU ทบทวนกฎห้ามขายรถ ICE อีกครั้ง
เยอรมนีกดดัน EU ขอให้ขายรถ ICE ต่อได้หลังปี 2035
เยอรมนีในฐานะประเทศที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์เข้มแข็งที่สุดในยุโรป ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผย นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเรียกร้องให้สหภาพยุโรป อนุญาตให้จำหน่ายรถที่ใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำต่อไปหลังปี 2035 พร้อมย้ำว่า เครื่องยนต์สันดาปประสิทธิภาพสูง (High-efficiency ICE) ยังมีศักยภาพในการพัฒนาและไม่ควรถูก “ปิดประตู” เพียงเพราะการผลักดัน EV อย่างสุดโต่ง
ด้วยความที่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายค่ายมีฐานการผลิตและวิจัยในเยอรมนี เสียงจากรัฐบาลเยอรมนีจึงมีน้ำหนักอย่างมากต่อการตัดสินใจของ EU ในการปรับทิศทางนโยบายครั้งนี้
ค่ายรถแยกเป็นสองสาย: ผ่อนปรน vs เดินหน้า EV เต็มตัว
กลุ่มที่สนับสนุนการผ่อนปรน
ผู้ผลิตรถยนต์จำนวนไม่น้อยเห็นว่า การบังคับให้ตลาดไปสู่ EV 100% ภายในเวลาอันสั้น อาจสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนและกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค จึงเสนอแนวคิด “เปิดให้มีเทคโนโลยีหลากหลาย” ทั้ง EV, PHEV, HEV และ ICE ที่ใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือน้ำมันชีวภาพ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กลุ่มที่สนับสนุนการแบน ICE ตามกำหนดเดิม
ในอีกด้านหนึ่ง ค่ายรถอย่าง Volvo และ Polestar ยังคงยืนยันจุดยืนสนับสนุนการแบน ICE ภายในปี 2035 โดยมองว่า ยุโรปจำเป็นต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงา สะอาด
หากปล่อยให้ผ่อนปรนมากเกินไป อาจเปิดช่องให้ภูมิภาคอื่น เช่น จีน หรือสหรัฐ แซงหน้าในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
น้ำมันสังเคราะห์ (e-Fuel) คืออะไร ทำไมสำคัญในเกมนี้?
น้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Fuel หรือ e-Fuel) เป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี โดยใช้การรวมตัวกันของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) กับไฮโดรเจน (H₂) ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ หากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตมาจากพลังงานหมุนเวียน ก็จะทำให้ e-Fuel มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิใกล้ศูนย์ (Carbon-neutral)
ข้อดีของ e-Fuel คือ:
- สามารถใช้กับเครื่องยนต์สันดาปปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
- ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมของปั๊มน้ำมันได้ ไม่ต้องสร้างระบบใหม่เหมือนสถานีชาร์จ
- ช่วยลดการปล่อย CO₂ ได้ในระดับที่ EU ยอมรับได้ หากนับแบบ Well-to-Wheel
ด้วยเหตุนี้ หลายค่าย เช่น Porsche จึงลงทุนอย่างจริงจังในโครงการพัฒนา e-Fuel และมองว่าการผ่อนปรนกฎหมายปี 2035 คือโอกาสสำคัญในการขยายตลาดเชื้อเพลิงชนิดนี้
หาก EU ผ่อนปรนจริง จะเกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์?
1. ค่ายรถได้ “เวลา” เพิ่มในการเปลี่ยนผ่าน
การผ่อนปรนกฎหมายจะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นในการปรับโครงสร้างการผลิตจาก ICE ไปสู่ EV ลดแรงกดดันด้านต้นทุนการลงทุน และลดความเสี่ยงเรื่องการตกงานในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ICE เดิม
2. ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดจะกลับมาโดดเด่น
หากกฎอนุญาตให้ใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือเชื้อเพลิงชีวภาพกับรถไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ได้เต็มที่ กลุ่มรถเหล่านี้อาจกลับมามีบทบาทสูงในยุโรป เพราะตอบโจทย์ทั้งด้านความสะดวกในการเติมเชื้อเพลิงและการลดการปล่อย CO₂
3. ตลาด e-Fuel และ Biofuel มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
การส่งสัญญาณจาก EU ว่าพร้อมเปิดทางให้เทคโนโลยีเชื้อเพลิงทางเลือก จะยิ่งเร่งให้โครงการลงทุนโรงงานผลิต e-Fuel และ Biofuel ขยายตัวมากขึ้น ทั้งในยุโรปและประเทศคู่ค้า เช่น ชิลี ญี่ปุ่น หรือประเทศที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน
4. การเปลี่ยนผ่านสู่ EV อาจช้าลงเล็กน้อย แต่ยังไม่หยุด
แม้การผ่อนปรนจะทำให้เส้นทางไปสู่ EV 100% ชะลอตัวลง แต่ทิศทางระยะยาวของอุตสาหกรรมยังคงมุ่งสู่พลังงานสะอาดเหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบอาจกลายเป็น “ตลาดหลายเทคโนโลย อยู่ร่วมกัน”
มากกว่าการบังคับให้ใช้ EV เพียงอย่างเดียว
อนาคตตลาดรถยุโรป EV, ICE, ไฮบริด อยู่ร่วมกันอย่างไร?
เมื่อมองไปข้างหน้า ภาพรวมตลาดยุโรปมีแนวโน้มจะเข้าสู่โครงสร้างแบบผสมผสาน:
- รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใช้งานในเมืองและการเดินทางระยะสั้นถึงปานกลาง โครงสร้างชาร์จครอบคลุมมากขึ้น
- รถ ICE ที่ใช้ e-Fuel หรือ Biofuel เหลือบทบาทในกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น รถสมรรถนะสูง รถเดินทางไกล และผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่น
- รถไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด (HEV / PHEV) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างโลกของ ICE และ EV
สุดท้ายแล้ว EU พยายามปรับสมดุลระหว่าง “ความทะเยอทะยานด้านสภาพภูมิอากาศ” กับ “ความจริงด้านเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค” การผ่อนปรนกฎปี 2035 (หากเกิดขึ้นจริง) จึงอาจไม่ได้หมายถึงการถอยหลัง แต่คือการจัดจังหวะการเปลี่ยนผ่านให้สมเหตุสมผลมากขึ้น

