ปตท. และ Foxconn อาจช่วยไทยผลิตรถยนต์ไร้คนขับ ?







มันกำลังเริ่มต้นสำหรับประเทศไทย ? ยังก่อน รถยนต์ไร้คนขับ เป็นอนาคตที่ค่อนข้างไกล คำว่าไร้คนขับ มันคือระบบที่ปราศจากการควบคุมโดยมนุษย์ หรือ เราเรียกระดับนี้ว่า L5 หรือ Fully Autonomous Cars ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถทำได้จริงในเชิงพาณิย์
นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “มุมมองใหม่ฝ่าเศรษฐกิจไทยปี 2022” ในงาน INTANIA DINNER TALK จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วานนี้ (1 ธ.ค.) ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ติดลบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในสาขาพลังงาน การส่งออก รวมทั้งภาคขนส่ง แต่ในบางส่วนยังไม่ฟื้นตัวเช่นภาคการท่องเที่ยวที่ภาครัฐต้องเข้าไปดูแลด้วยมาตรการต่างๆที่ต้องมีการช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป
สำหรับโอกาสของประเทศไทยหลังโควิด-19 อยู่บนโอกาส 4 เรื่องที่สำคัญ แต่มี 2 เรื่องหลักๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ ได้แก่
1.เศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัล และการเข้าสู่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเครือข่าย 5G ที่รัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อม และส่งเสริมให้เอกชนลงทุนแล้ว
2.การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ทั้งนี้ประเทศไทยได้กำหนดปีที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดไว้ในปี 2030 จากนั้นจะต้องค่อยๆลดการปล่อยคาร์บอนฯลงจนเหลือศูนย์ ซึ่งในการลดปริมาณคาร์บอนฯที่เราปล่อยอยู่ปีละประมาณ 350 ล้านตัน จะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆทั้งเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด พลังงานทดแทนซึ่งเริ่มเห็นการขยับการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดว่าจะมีการลงทุนประมาณปีละ 8 แสนล้านบาทต่อเนื่องไปอีกหลายปีช่วยจ้างงานและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย
“ยานยนต์ไฟฟ้ายังสามารถที่จะต่อยอดไปถึงรถยนต์ไร้คนขับได้ เพราะขณะนี้บริษัทแอปเปิ้ลของสหรัฐฯมีเป้าหมายจะผลิตรถยนต์ไร้คนขับภายในปี 2025 ประเทศไทยมีบริษัท ปตท.ที่เป็นพันธมิตรกับฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งมีความร่วมมือธุรกิจกับบริษัทแอปเปิ้ล อาจเจรจา ดึงเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับเข้ามาผลิตในไทยได้”
มีเพียงรถต้นแบบเท่าที่เราเห็น ก็พอมี Hyundai M.Vision X รถขับขี่อัตโนมัติระดับ L5 สำหรับเชิงพาณิชย์ต้องยกให้ Baidu แท็กซี่ ไร้คนขับ ให้บริการในปักกิ่ง แต่นั้นยังต้องมีพวงมาลัย และ ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบอย่างเข้มงวด
ปัจจุบันทาง Foxconn มีรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ 3 โมเดล ภายใต้แบรนด์ Foxtron ครอบคลุม C SUV EV ขนาดกลาง , Model E หรือ ซีดานไฟฟ้าขนาดกลาง – ใหญ่ และ Model T รถโดยสารไฟฟ้า
- Foxconn มีชื่อบริษัทว่า Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. ใช้ชื่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า Foxconn เป็นบริษัทข้ามชาติ ผู้ผลิตและรับผลิตอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Tucheng, New Taipei, ในประเทศไต้หวัน (Taiwan) จัดเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์ และรวมถึง Circuit boards ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภายใต้สถาปัตยกรรม MIH Open Platform แพลตฟอร์มแยกส่วน สามารถปรับใช้กับแชสซีส์ของรถยนต์ไฟฟ้าได้หลากหลาย รวมทั้รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในรูปแบบอื่นๆ
จุดเด่นของ MIH
- มอเตอร์ขนาด 95 kW, 150 kW และ 200 kW สำหรับเพลาหน้า และ 150 kW, 200 kW, 240 kW และ 340 kW สำหรับเพลาหลัง
- ฐานล้อปรับขนาดความยาวระหว่าง 2.75 – 3.10 เมตรได้ แทร็คที่ปรับความกว้างจาก 1.59 เมตร ถึง 1.70 เมตร ส่วนความสูงถึงใต้้ท้องรถ อยู่ที่ 12.6 เซนติเมตร ถึง 21.1 เซนติเมตร
- สามารถเลือกระบบขับเคลื่อนได้หลากหลายทั้ง ล้อหน้า / ล้อหลัง / สี่ล้อ
- รองรับแบตเตอรี่ที่หลากหลายรวมทั้ง Solid State
- ตัวถังใช้ระบบ mega cast ที่ใช้ชิ้นสวนน้อยที่สุด
- รองรับ 5G และ 6G ในอนาคต พร้อมระบบซอฟต์แวร์อัพเดทแบบ OTA และระบบเชื่อมต่อแบบ V2X (vehicle-to-anything)
เราเชื่อว่า Foxconn มีศักยภาพมากพอที่จะสามารถทำระบบขับขี่อัตโนมัติ แต่ยังก่อน เพราะเทคโนโลยี ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะสำเร็จ ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานมากมาย รวมทั้งการประมวลผลที่รวดเร็วถูกต้อง แม่นยำอย่างมาก ในอนาคตเราได้เห็น Foxconn สร้างอย่างแน่นอน แต่ถึงระดับ L5 ไหม ต้องมาติดตามกันอีกที เพราะ Apple Car ก็มีแผนทำรถยนต์ไร้คนขับเช่นกัน
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City