ยังไม่ยอมแพ้! หลี่ซูฝู แห่ง GEELY อัดเงิน Polestar อีก 18,800 ล้านบาท

ยังไม่ยอมแพ้! หลี่ซูฝู แห่ง GEELY อัดเงิน Polestar อีก 18,800 ล้านบาท
Spread the love
Advertisement Advertisement

หลี่ซูฝู “อุ้ม” โพลสตาร์ Polestar  อีกรอบ! เงินกู้สูงสุด 600 ล้านดอลลาร์ สะท้อนเกมใหญ่ ‘แบรนด์ยุโรป’ เพื่อฝ่ากำแพงการค้า

สรุปประเด็น โพลสตาร์ได้เงินกู้อีกระลอก—แต่ “สาระคือเงินผู้ถือหุ้น”

โพลสตาร์ (Polestar) ประกาศลงนามข้อตกลงเงินกู้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ “กลุ่มจีลี่ โฮลดิ้ง” วงเงินสูงสุด 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18.85 พันล้านบาท (คำนวณที่ 1 ดอลลาร์ = 31.42 บาท) เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวต่อเนื่อง

แม้โครงสร้างจะเป็น “เงินกู้” ต่างจาก “การเพิ่มทุน” แต่ในทางปฏิบัติ นี่คือการเติมเงินจากฝั่งผู้ถือหุ้นอีกครั้ง เพื่อยื้อเวลาและลดแรงกดดันด้านกระแสเงินสดในช่วงที่โพลสตาร์ยังไม่สามารถ “สร้างเลือดใหม่” ได้ด้วยตัวเอง

ภาพใหญ่ที่ต้องรู้ 5 เดือนก่อนก็เพิ่งเพิ่มทุน 200 ล้านดอลลาร์

จุดที่ทำให้ข่าวนี้สะดุดตา คือ เพียง 5 เดือนก่อนหน้า โพลสตาร์เพิ่งได้เม็ดเงิน 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.28 พันล้านบาท ในรูปแบบการลงทุนหุ้น (Equity Injection) จาก PSD Investment Limited ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่ “หลี่ซูฝู” มีอิทธิพลควบคุมอยู่เช่นกัน

แปลว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งปี โพลสตาร์ได้รับแรงอัดฉีดซ้ำอีกระลอก สะท้อนว่า “ภาวะเงินสด” ยังเป็นโจทย์เร่งด่วน และการพึ่งพาเงินจากผู้ถือหุ้นยังไม่สิ้นสุด

01 หนึ่งปี “อุ้มเงิน” หนักแค่ไหน ทำไมเงินกู้ 600 ล้านดอลลาร์ถึงยังดูไม่พอ

เงินกู้ครั้งนี้ถูกระบุว่าเป็น เงินกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Term Loan) ซึ่งโดยนัยคืออยู่ลำดับท้ายกว่าหนี้ประเภทอื่นในการรับชำระคืน และที่สำคัญคือช่วยให้เงินกู้นี้ ไม่ถูกนับเป็นข้อจำกัดตามพันธสัญญาหนี้บางประเภท (ตามการสื่อสารของบริษัทในบทความต้นทาง) ทำให้โพลสตาร์ยัง “ยืดเพดาน” ทางการเงินได้

แต่ถึงอย่างนั้น หากมองขนาดปัญหา จะเข้าใจทันทีว่าทำไมเงินกู้ 600 ล้านดอลลาร์ถึงเหมือน “เติมถังที่รั่ว” เพราะโพลสตาร์ถูกระบุว่ามีภาระหนี้รวมระดับ มากกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 172.81 พันล้านบาท

ตัวเลขการเงินที่สะท้อนความตึง (อ้างอิงบทความที่ให้มา)

  • รายได้ช่วงครึ่งปี 2025: 1.423 พันล้านดอลลาร์44.72 พันล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ: -1.193 พันล้านดอลลาร์-37.49 พันล้านบาท
  • อัตราหนี้สินต่อสินทรัพย์ (D/E ภาพรวม): 217.11%
  • สินทรัพย์สุทธิ: -3.329 พันล้านดอลลาร์-104.59 พันล้านบาท
  • หนี้สินรวม: 7.383 พันล้านดอลลาร์231.97 พันล้านบาท

ถ้าตีความแบบภาษาธุรกิจง่าย ๆ คือ “งบดุลติดลบ” และ “หนี้สูงกว่าสินทรัพย์” นั่นทำให้การหาเงินจากตลาดทุนหรือเจ้าหนี้ทั่วไปยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ จึงยิ่งต้องพึ่งเงินจากผู้ถือหุ้น/กลุ่มทุนเดิม

ยังมีบิลปลายปี: เงินกู้ธนาคาร 800 ล้านดอลลาร์ที่ใกล้ครบกำหนด

บทความยังระบุว่าเมื่อ ธันวาคม 2024 โพลสตาร์เคยกู้เงินธนาคารรวมกว่า 800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 25.14 พันล้านบาท แบบหนึ่งปี และบางส่วนใช้ไปกับการชำระหนี้เดิม ซึ่งหมายความว่า ปลายปีนี้ จะมีภาระต้องจัดการ “หนี้ครบกำหนด” อีกก้อนใหญ่

ดังนั้น ต่อให้ได้วงเงินใหม่ 600 ล้านดอลลาร์ ก็ยังเป็นเพียง “การซื้อเวลา” มากกว่าการแก้สมการระยะยาว

02 หุ้นร่วง-เสี่ยงหลุดตลาด: Reverse Split 1:30 เพื่อหนี ‘เพนนีสต็อก’

อีกแกนที่กดดันโพลสตาร์คือสถานะในตลาดหุ้นสหรัฐ บทความระบุว่า ราคาหุ้นถูกกดลงยาวจนต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลให้ Nasdaq ออกคำเตือนเรื่องการเพิกถอน หากไม่แก้ไขภายใน 29 เมษายน 2026 อาจถูกบังคับให้หลุดจากตลาด

เพื่อยื้อสถานะจดทะเบียน โพลสตาร์ใช้วิธี Reverse Split โดยปรับอัตรา ADS จาก 1:1 เป็น 1:30 (มีผลวันที่ 9 ธันวาคม ตามบทความ) ทำให้ “ราคาต่อหน่วย” ดูสูงขึ้นจากการลดจำนวนหุ้นในเชิงเทคนิค

อย่างไรก็ดี Reverse Split ไม่ได้ทำให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ หากกระแสเงินสดยังไม่ดีขึ้น ตลาดก็มีแนวโน้มกลับไป “กดราคา” อีกตามเดิม

จีนแทบดับ แต่ทำไมยังต้องอุ้ม: เพราะ ‘ยุโรป-อเมริกา’ คือเวทีจริงของโพลสตาร์

จุดเจ็บปวดคือ โพลสตาร์ในจีนถูกมองว่า “แทบไร้ตัวตน” ถึงขั้นปิดสาขา直营แห่งสุดท้ายในเซี่ยงไฮ้ และยอดขายรายเดือนต่ำมากตามที่บทความยกมา แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงกันข้ามคือ ต่างประเทศยังขายได้

บทความระบุว่า ครึ่งแรกปีนี้ โพลสตาร์ส่งมอบทั่วโลก 30,319 คัน โต 51% และยอดขาย 3 ไตรมาสแรก อยู่ที่ราว 44,482 คัน โต 36%

ภายใต้ฉากหลังที่สหรัฐและยุโรปเพิ่มความเข้มงวดต่อรถจากจีน โพลสตาร์กลับมี “ภาพลักษณ์ยุโรป” และมีการจัดวางฐานการผลิตแบบกระจายความเสี่ยง ซึ่งถูกนำเสนอว่าเป็นเส้นทางอ้อมเพื่อ หลบกำแพงการค้า (เช่น การย้าย/กระจายการผลิตไปสหรัฐ เกาหลี และเตรียมไปยุโรปตามบทความ)

Advertisement Advertisement

กล่าวให้ชัด: โพลสตาร์อาจไม่ใช่แบรนด์ที่ชนะในสนามจีนที่แข่งกันด้วย “ความคุ้มค่า” แต่ยังพอมีพื้นที่ในตลาดที่ให้มูลค่าเรื่อง “แบรนด์-ดีไซน์-ความเป็นยุโรป” และนี่คือคุณค่าที่จีลี่อาจยอมจ่ายเพื่อเก็บไว้

อ่านเกมจีลี่ ทำไม ‘ยังไม่ปล่อย’ ทั้งที่งบลบและหุ้นทรุด

หากสรุปเชิงกลยุทธ์จากข้อมูลในบทความ เหตุผลหลักที่จีลี่ “ยังอุ้ม” โพลสตาร์ อาจอยู่ที่ 4 ประเด็นนี้

  • โพลสตาร์เป็นสะพานสู่ตะวันตก ด้วยภาพลักษณ์ยุโรปและรากฐานจากวอลโว่ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคในยุโรป/อเมริกาได้ง่ายกว่าแบรนด์จีนที่ติดภาพ “Made in China” เต็มตัว
  • เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภาษี/การเมืองการค้า เมื่อฐานการผลิตกระจายและมี “ตัวตนยุโรป” จึงอาจช่วยสร้างทางเลือกด้านซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในการส่งมอบ
  • ยังมีสัญญาณการเติบโตนอกจีน ยอดส่งมอบทั่วโลกยังขยาย และมีการดึงลูกค้าจากค่ายคู่แข่ง (บทความยกกรณีลูกค้า Tesla ในบางตลาด)
  • รักษาหมากในตลาดพรีเมียม EV แม้ปัจจุบันจะยังขาดทุน แต่ในเชิงพอร์ตแบรนด์ โพลสตาร์สามารถเป็น “หัวหอก” ในกลุ่มพรีเมียมที่จีลี่ต้องการยืนระยะ

แต่ทุกข้อข้างต้นยังต้องแลกกับคำถามใหญ่ที่สุด: โพลสตาร์จะกลับมาสร้างกระแสเงินสดบวกได้เมื่อไร เพราะต่อให้แผนการผลิตและยอดส่งมอบดีขึ้น หากไม่แปลงเป็นกำไรและสภาพคล่อง ก็จะวนกลับมาที่วงจร “อุ้มเงิน” เหมือนเดิม

บทสรุป เงินกู้ 18.85 พันล้านบาทคือการ “ซื้อเวลา” และเดิมพันกับ ‘แบรนด์ยุโรป’

ดีลเงินกู้สูงสุด 600 ล้านดอลลาร์ (≈ 18.85 พันล้านบาท) สะท้อนว่าโพลสตาร์ยังต้องการเงินสดเพื่อประคองธุรกิจ ขณะที่ฝั่งจีลี่เลือกเดินเกม “ยื้อ” และ “ลงทุนต่อ” เพื่อรักษาหมากสำคัญด้านภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์

ในระยะสั้น การอัดเงินช่วยให้โพลสตาร์ไม่สะดุดกับภาระชำระหนี้และการดำเนินงาน แต่ในระยะยาว ตลาดจะจับตาเพียงประเด็นเดียว: เมื่อไรที่โพลสตาร์จะหยุดพึ่งเงินผู้ถือหุ้น และเริ่มเลี้ยงตัวเองได้จริง

polestar

ในปี 2009 GEELY กู้เงินมาซื้อ VOLVO สุดท้ายสิ่งที่เขาทำ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่พาบริษัทขึ้นสู่เวทีโลก

หลี่ ซูฝู (Li Shufu / 李书福) คือหนึ่งในนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และเป็นผู้ก่อตั้ง Geely Holding Group กลุ่มยานยนต์เอกชนรายใหญ่ของจีน

ประวัติโดยสรุป

  • เกิด: ปี ค.ศ. 1963

  • สัญชาติ: จีน

  • บทบาทหลัก: ผู้ก่อตั้งและประธาน Geely Holding Group

  • ฉายาในวงการ: “เจ้าพ่อรถยนต์เอกชนจีน”

หลี่ ซูฝู เริ่มต้นชีวิตการทำงานจากธุรกิจขนาดเล็ก เช่น การผลิตตู้เย็นและอะไหล่ ก่อนจะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งในเวลานั้น “เอกชนจีนทำรถยนต์” ยังเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถามอย่างมาก


สิ่งที่ทำให้หลี่ ซูฝูโดดเด่น

1. ผู้บุกเบิกรถยนต์เอกชนจีน

Geely คือหนึ่งใน ผู้ผลิตรถยนต์เอกชนรายแรกของจีน ที่สามารถยืนหยัดแข่งขันกับรัฐวิสาหกิจ และเติบโตจนกลายเป็นกลุ่มยานยนต์ระดับโลก

2. นักล่าดีลระดับโลก

หลี่ ซูฝู เป็นที่รู้จักจากการเข้าซื้อและถือหุ้นในแบรนด์ระดับโลก เช่น

  • Volvo Cars – เข้าซื้อจาก Ford ในปี 2010

  • Polestar – แบรนด์ EV พรีเมียม

  • Lotus – รถสปอร์ตอังกฤษในตำนาน

  • LEVC – แท็กซี่ไฟฟ้าลอนดอน

  • การถือหุ้นใหญ่ใน Mercedes-Benz Group (ผ่าน Daimler เดิม)

ดีลเหล่านี้ทำให้ Geely กลายเป็น “เครือข่ายแบรนด์ยานยนต์ระดับโลก” ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถจีนราคาประหยัด

3. ผู้ผลักดันเทคโนโลยี EV และแพลตฟอร์ม

หลี่ ซูฝู วางรากฐานด้านแพลตฟอร์มยานยนต์ เช่น SEA, CMA และระบบไฟฟ้า-ซอฟต์แวร์ ที่ใช้ร่วมกันในหลายแบรนด์ ลดต้นทุน และเพิ่มความเร็วในการพัฒนารถใหม่

ทำไมชื่อ “หลี่ ซูฝู” ถูกพูดถึงบ่อยในข่าวรถยนต์

  • มักปรากฏในข่าว การอัดฉีดเงิน, ปรับโครงสร้างแบรนด์, และ กลยุทธ์ระยะยาว

  • เป็นบุคคลที่ “ตัดสินใจเองสูง” และกล้ารับความเสี่ยง

  • แม้บางแบรนด์ (เช่น Polestar) จะเผชิญปัญหาขาดทุนหรือยอดขายต่ำ แต่เขายังคงเลือก “พยุง” เพื่อรักษาอนาคตระยะยาว

สรุปสั้น ๆ

หลี่ ซูฝู คือ

นักธุรกิจจีนผู้เปลี่ยน Geely จากโรงงานเล็ก ๆ ให้กลายเป็นอาณาจักรยานยนต์ระดับโลก และเป็นคนจีนไม่กี่คนที่ครอบครองแบรนด์รถยุโรประดับตำนานหลายราย

ในปี 2009 GEELY กู้เงินมาซื้อ VOLVO สุดท้ายสิ่งที่เขาทำ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่พาบริษัทขึ้นสู่เวทีโลก

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้