ด่วน! GM ระงับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หยุดจ้างงาน 1,750 คน พักงานชั่วคราว 1,550 ตำแหน่ง
GM กับการเดิมพันครั้งใหญ่ในโลก EV ที่เริ่มสะดุด “จากความฝันยิ่งใหญ่ สู่บทเรียนราคาแพงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า”
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา General Motors (GM) คือหนึ่งในค่ายรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ทุ่มสุดตัวกับการเปลี่ยนผ่านสู่ “ยุคพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ” ด้วยเป้าหมายชัดเจนว่า
“อนาคตของเรา คือโลกที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ”
ภายใต้สโลแกนนี้ GM ลงทุนมหาศาลในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ Ultium Cells ร่วมกับ LG Energy Solution และพัฒนาโมเดลไฟฟ้าระดับเรือธงอย่าง Chevrolet Silverado EV, GMC Hummer EV, Cadillac Escalade IQ ไปจนถึงรถตู้พาณิชย์ไฟฟ้า BrightDrop ที่ตั้งใจจะพลิกวงการโลจิสติกส์
แต่ความจริงของปี 2025 กลับไม่สวยงามอย่างที่ฝันไว้…
ตลาด EV ที่โตช้ากว่าที่คาด “ยอดขายไม่แรง ส่วนลดก็ช่วยไม่ได้”
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ เคยหนุนตลาด EV อย่างเต็มที่ ด้วยเครดิตภาษีสูงสุด 7,500 ดอลลาร์ แต่เมื่อกฎระเบียบเริ่มเปลี่ยน ภายใต้แนวทางใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ที่ “ผ่อนคลาย” มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้แรงจูงใจผู้บริโภคลดลงทันที
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ GM ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะ “ระเบิด” กลับชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาสูงอย่าง Hummer EV และ Escalade IQ ที่แม้จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยี แต่กลับไม่สามารถกระตุ้นยอดจองในระดับที่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
เมื่อโรงงานต้องหยุด แต่หนี้สินยังเดินต่อ “1,750 ชีวิตต้องรับผลจากการตัดสินใจขององค์กร”
GM ประกาศปลดพนักงาน กว่า 1,750 คนในสหรัฐฯ
-
โรงงาน Factory Zero (Michigan): ปลด 1,200 คน
-
โรงงานแบตเตอรี่ Ultium Cells (Ohio): ปลด 550 คน
พร้อมกันนั้นยังมี การพักงานชั่วคราวกว่า 1,550 ตำแหน่ง ในโรงงานแบตเตอรี่ที่รัฐโอไฮโอและเทนเนสซี โดยบริษัทให้เหตุผลว่า
“การผลิตต้องปรับตามความต้องการที่แท้จริงของตลาด และเตรียมอัปเกรดสายการผลิตให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น”
พูดอีกแบบคือ… GM เริ่ม “เบรก” แผนขยายกำลังผลิต EV หลังจากพบว่าตลาดยังไม่พร้อมจะรองรับ “รถไฟฟ้าทุกคันในทุกเซ็กเมนต์” อย่างที่บริษัทเคยคาดไว้
ลดรอบการผลิตรถ EV ในดีทรอยต์ลงครึ่งหนึ่ง
GM จะ ลดรอบการผลิตในโรงงานดีทรอยต์เหลือเพียงกะเดียว จากเดิมสองกะ เริ่มเดือนมกราคม ซึ่งจะทำให้การผลิตลดลงราว 50% โรงงานแห่งนี้ผลิตรถกระบะไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น
-
Chevrolet Silverado EV
-
GMC Sierra EV
-
Cadillac Escalade IQ
-
Hummer SUV
คำสัญญากับความจริงที่ไม่ตรงกัน
ซีอีโอ Mary Barra กล่าวกับนักลงทุนก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งสัปดาห์ว่า GM ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในไตรมาส 3 กำไรดี กระแสเงินสดสูง และส่วนแบ่งตลาดสูงสุดตั้งแต่ปี 2017
แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ยอมรับตรง ๆ ว่า
“ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้นจะต่ำกว่าที่เราคาดไว้”
และนี่คือจุดหักเหสำคัญของ GM — เพราะบริษัทที่เคยประกาศจะ “เลิกผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035” ต้องหันกลับมาพิจารณาการลงทุนใน รถยนต์ ICE และ Hybrid อีกครั้ง เพื่อรักษากำไรและเสถียรภาพของเครือข่ายการผลิต
ปัญหาที่มากกว่าตัวเลขขาย คือ “ต้นทุนและเวลา”
การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ไม่ได้มีแค่เรื่องยอดขายเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนมหาศาลในทุกมิติ
- ราคาวัตถุดิบแบตเตอรี่ (ลิเทียม นิกเกิล โคบอลต์) ที่ผันผวน
- ปัญหาคอขวดในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่
- ความกังวลของผู้บริโภคต่อ “อายุแบตเตอรี่” และ “โครงสร้างชาร์จไฟ”
- และที่สำคัญคือ “ราคาขาย” ที่ยังสูงเกินระดับรายได้เฉลี่ยของผู้บริโภคในสหรัฐฯ
ทั้งหมดนี้ทำให้ EV ของ GM โดยเฉพาะรุ่นใหญ่ ๆ กลายเป็นสินค้าหรูมากกว่ารถยนต์ใช้งานจริงในสายตาของผู้ซื้อส่วนใหญ่
การหยุดเพื่อเริ่มใหม่ (อีกครั้ง)
GM ระบุว่าโรงงานแบตเตอรี่ที่ Warren, Ohio และ Spring Hill, Tennessee จะหยุดการผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม 2026 เพื่อ “ปรับปรุงและเพิ่มความยืดหยุ่น” ก่อนกลับมาดำเนินงานอีกครั้งในกลางปี 2026
บริษัทให้คำมั่นว่าพนักงานที่ได้รับผลกระทบจะยังได้รับ “รายได้ส่วนหนึ่งพร้อมสวัสดิการ” แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าหลังการปรับโครงสร้างแล้ว จะมีตำแหน่งงานกลับมาทั้งหมดหรือไม่
บทเรียนสำหรับอุตสาหกรรมโลก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ GM กำลังสะท้อน “ความจริง” ที่ค่ายรถทั่วโลกต้องเผชิญ การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ไม่ใช่เพียง “แผนธุรกิจ” แต่คือ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ที่ต้องอาศัยเวลา ระบบสนับสนุน และกำลังซื้อของผู้บริโภคพร้อมกัน
แม้จีนจะเป็นผู้นำในตลาด EV อย่างชัดเจน แต่ในสหรัฐฯ และยุโรป การเติบโตของ EV ยังต้องต่อสู้กับโครงสร้างราคาน้ำมัน, เครือข่ายชาร์จไฟ, และนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลงตามผู้นำทางการเมือง
ธุรกิจ EV ของ GM ขาดทุนขนาดไหน?
รายงานจากหลายสำนักข่าวในสหรัฐฯ ระบุว่า GM ได้ตั้งค่าใช้จ่ายพิเศษ (charge) สำหรับการปรับแผนธุรกิจ EV และโรงงานแบตเตอรี่ในไตรมาส 3/2025 เป็นมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 51,824 ล้านบาท
และยังมีการคาดการณ์ว่าการขาดทุนจากการดำเนินงาน (Operating Loss) ของธุรกิจ EV ทั้งระบบในปี 2025 อาจสูงถึง 2–4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 64,780 – 129,560 ล้านบาท
นั่นหมายความว่า…เพียง “หนึ่งปี” GM สูญเงินจาก EV เท่ากับมูลค่าการลงทุนสร้างโรงงานรถยนต์ขนาดใหญ่หลายแห่งรวมกัน
EV ยังไม่คืนทุน แต่ก็ยังหยุดไม่ได้
ในรายงานประจำปี 2024 GM ระบุว่ายอดขายรถ EV ในอเมริกาเหนืออยู่ที่ประมาณ 189,000 คัน ซึ่งแม้จะครอบคลุม “ต้นทุนคงที่” ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถทำกำไรได้จริง เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลจาก
- โรงงานแบตเตอรี่ Ultium ที่ต้องปรับโครงสร้าง
- ต้นทุนลิเธียมและนิกเกิลที่ผันผวน
- ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีและการรับประกันแบตเตอรี่
ผลลัพธ์คือ GM ต้อง “หยุดการผลิตบางส่วน” เช่น โรงงานแบตเตอรี่ที่ Warren, Ohio และ Spring Hill, Tennessee ชั่วคราวเป็นเวลาเกือบ 18 เดือน (จนถึงกลางปี 2026) เพื่ออัปเกรดสายการผลิตให้ “ยืดหยุ่นมากขึ้น”

