“ดีลล่ม แต่เกมยังไม่จบ” HONDA-NISSAN เตรียมร่วมมืออีกครั้งในสหรัฐฯ

“ดีลล่ม แต่เกมยังไม่จบ” HONDA-NISSAN เตรียมร่วมมืออีกครั้งในสหรัฐฯ
Spread the love

Advertisement

Advertisement

 

ฮอนด้า-นิสสัน: ดีลล่มแต่ไม่เลิกคุย? สู่แผนความร่วมมือครั้งใหม่ในสมรภูมิสหรัฐฯ

แม้แผนการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์จะล่มลงไปเมื่อ 4 เดือนก่อน แต่ดูเหมือนว่าสองยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นอย่าง ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda) และ นิสสัน มอเตอร์ (Nissan) ยังคงมี “คลื่นใต้น้ำ” เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ล่าสุด ประธานฮอนด้าได้ออกมายอมรับว่า ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณาความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญในตลาดสหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณว่าบทสนทนาของทั้งคู่ยังไม่จบลงง่ายๆ

ระหว่างการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายโทชิฮิโระ มิเบะ ประธานบริษัทฮอนด้า ได้ดับฝันผู้ที่หวังจะเห็นการรื้อฟื้นแผนควบรวมกิจการในเร็ววันนี้ โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ในขณะนี้ยังเป็นไปไม่ได้”

“เราไม่ได้ปฏิเสธ (การควบรวม) อย่างสิ้นเชิง แต่คงยังไม่ใช่ในช่วงนี้” นายมิเบะกล่าว พร้อมเปิดเผยข้อมูลสำคัญว่า การเจรจาในระดับปฏิบัติการยังคงดำเนินต่อไป “ทั้งสองบริษัทกำลังหารือรายละเอียดความร่วมมือกันอยู่… และกำลังพิจารณาเรื่องความร่วมมือในสหรัฐด้วย”

คำกล่าวนี้สอดคล้องกับท่าทีของฝั่งนิสสัน โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม นายอีวาน เอสปิโนซา ซีอีโอของนิสสัน ได้ยอมรับว่ากำลังมองหาโอกาสในตลาดสหรัฐฯ และ “แน่นอนว่าฮอนด้าเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่เรากำลังพิจารณาอยู่”

จาก “ดีลแห่งศตวรรษ” สู่ความร่วมมือเฉพาะจุด

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2567 โลกได้จับตามองการประกาศเจรจาควบรวมกิจการระหว่างฮอนด้าและนิสสัน เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งใหม่ เป้าหมายคือการผงาดขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจาก Toyota และ Volkswagen และที่สำคัญคือเพื่อผนึกกำลังรับมือกับต้นทุนมหาศาลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) และซอฟต์แวร์ สำหรับต่อกรกับคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla จากสหรัฐฯ และ BYD จากจีน

ทว่า การเจรจากลับล่มสลายลงในเวลาไม่ถึงสองเดือน ก่อนที่ซีอีโอของนิสสันในขณะนั้นจะลาออกจากตำแหน่งไป ทิ้งไว้เพียงความเสียดายและคำถาม

วันนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสองบริษัทได้เรียนรู้จากความล้มเหลว และกำลังเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “การแต่งงาน” ที่ซับซ้อน ไปสู่ “การเป็นพันธมิตร” ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เฉพาะหน้า โดยมีสมรภูมิสำคัญคือตลาดสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับนโยบายภาษีที่เข้มงวด

“เราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดจากความร่วมมือนี้ และฟื้นความสามารถในการแข่งขันระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม” นายมิเบะกล่าวทิ้งท้ายในที่ประชุมผู้ถือหุ้น


บทวิเคราะห: “ดีลล่ม แต่เกมยังไม่จบ” นี่คือ 4 เหตุผลที่ฮอนด้า-นิสสันต้องคุยกันต่อ

การที่ฮอนด้าและนิสสันกลับมาเจรจากันอีกครั้ง แม้จะลดระดับจาก “การควบรวม” มาเป็น “ความร่วมมือ” สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันมหาศาลและความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

  1. สมรภูมิรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คือความจริงที่เจ็บปวด: การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งรุ่นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทั้งด้านแพลตฟอร์ม, แบตเตอรี่, และซอฟต์แวร์ การที่ฮอนด้าและนิสสัน (ซึ่งมีมิตซูบิชิร่วมหารือด้วย) จะแบ่งปันต้นทุนและเทคโนโลยีในส่วนนี้ ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ “ทางรอด” เพื่อให้สามารถแข่งขันด้านราคากับยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla และ BYD ที่มีขนาดการผลิตใหญ่กว่ามากได้

  2. ตลาดสหรัฐฯ คือเดิมพันที่แพ้ไม่ได้: สหรัฐฯ เป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ (ที่ถูกอ้างอิงถึงนโยบายของทรัมป์) มีผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนและยอดขาย การสร้างความร่วมมือเฉพาะในสหรัฐฯ อาจหมายถึงการใช้ฐานการผลิตร่วมกัน, การพัฒนารถยนต์สำหรับตลาดอเมริกาโดยเฉพาะ หรือแม้กระทั่งการสร้างซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษี นี่คือการเดินหมากเชิงภูมิรัฐศาสตร์

  3. บทเรียนจากความล้มเหลว สู่ความสัมพันธ์ที่ “จริงจังแต่ยืดหยุ่น”: การควบรวมกิจการเต็มรูปแบบมีความซับซ้อนสูง ทั้งในแง่วัฒนธรรมองค์กร, การถือหุ้น, และการบริหารจัดการ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดีลล่มลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนมาสู่ความร่วมมือเฉพาะด้าน เช่น ในสหรัฐฯ หรือการพัฒนา EV ร่วมกัน เป็นแนวทางที่ “ปฏิบัติได้จริง” และมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันใหม่ทีละก้าว

  4. แรงกดดันจากทุกทิศทาง: ทั้งฮอนด้าและนิสสันต่างรู้ดีว่าหากยังคง “ฉายเดี่ยว” ต่อไปในสงครามเทคโนโลยียานยนต์ พวกเขาอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แค่จากคู่แข่งหน้าใหม่ แต่จากคู่แข่งดั้งเดิมอย่าง Toyota หรือ Hyundai-Kia ที่ปรับตัวได้เร็วกว่า การจับมือกันจึงเป็นหนทางในการ “ฟื้นความสามารถในการแข่งขัน” ตามที่ประธานฮอนด้ากล่าวไว้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในเวลานี้

รายละเอียดสำคัญ

  1. ไม่ควบรวม (ในตอนนี้): ประธานฮอนดมายืนยันว่าการควบรวมกิจการเต็มรูปแบบยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ในอนาคต
  2. มุ่งเป้าที่สหรัฐฯ: ทั้งสองบริษัทกำลังศึกษาแนวทางความร่วมมือในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการผลิต, การพัฒนา EV, และการรับมือนโยบายภาษี
  3. เหตุผล: แรงผลักดันสำคัญคือต้นทุนมหาศาลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) และซอฟต์แวร์ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla และ BYD ได้
  4. ภาพรวม: นี่คือความพยายามในการหาทางลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หลังจากแผนการใหญ่ที่จะรวมกันเป็นบริษัทอันดับ 3 ของโลกล่มเหลวไป

nikkei

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้