คปภ. ชี้ชัด เหตุยิง BM-21 จากฝั่งกัมพูชาใส่ปั๊มน้ำมันในไทย “ไม่ใช่ภัยสงคราม”
						
 
ประเด็นสำคัญ:
- 
คปภ. ชี้ชัด เหตุยิง BM-21 จากฝั่งกัมพูชาใส่ปั๊มน้ำมันในไทย “ไม่ใช่ภัยสงคราม”
- เหตุการณ์นี้ถูกตีความว่าเป็น “การปะทะ” บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา
 - ไม่ใช่สงครามระหว่างรัฐหรือการรุกราน
 - จึงยังอยู่ในความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
 
 - 
บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมตามสิทธิ
- ทั้งในส่วนประกันภัยทรัพย์สิน (IAR) และประกันชีวิตของผู้เสียชีวิต
 - หากมีบางความเสียหายที่อยู่นอกคุ้มครอง (เช่น Public Liability) คปภ. ขอให้บริษัทพิจารณาจ่าย “สินไหมกรุณา” (Ex-gratia) ด้วย
 
 - 
คปภ. ลงพื้นที่จริง ตรวจสอบการคุ้มครอง
- พบว่าปั๊มน้ำมันทำประกันภัยทรัพย์สินครอบคลุมทั้งอาคาร
 - เร่งประสานบริษัทประกันช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอกรอบ 45 วันตามปกติ
 
 - 
OR (โออาร์) ไม่ทิ้งผู้ประกอบการ
- ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ
 - เตรียมซ่อมแซมปั๊มให้กลับมาเปิดบริการทันทีหลังทหารเคลียร์พื้นที่ระเบิดเสร็จ
 
 - 
เจ้าของปั๊มเผย เสียหายหนักกว่า 21 ล้านบาท
- ต้องปิดให้บริการยาวนานกว่า 3 เดือน
 - ยังอยู่ระหว่างผ่อนชำระหนี้ธนาคาร
 
 
ประเด็นน่าสนใจเชิงนโยบายและประกันภัย
- คำจำกัดความ “สงคราม” มีผลต่อการคุ้มครองของประกันภัยโดยตรง
 - แนวทาง “Ex-gratia” เป็นเครื่องมือสร้างความเห็นใจในกรณีที่ประกันไม่ครอบคลุม
 - การเยียวยาเร็วช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการรายย่อย
 
คปภ. ยันชัด! จรวด BM-21 ยิงใส่ปั๊มน้ำมันจากกัมพูชา “ไม่ใช่สงคราม” – บริษัทประกันต้องจ่าย
สถานีบริการน้ำมันเสียหายกว่า 21 ล้านบาทจากเหตุการณ์ยิง BM-21 ข้ามแดน คปภ.ออกโรงยืนยัน เหตุนี้ไม่ใช่ภัยสงคราม ประกันต้องชดใช้ ไม่ให้ประชาชนรับกรรมฝ่ายเดียว
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 – จากเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีการยิงจรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชา เข้าตกใส่สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหายอย่างหนัก ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เหตุการณ์นี้ไม่เข้าข่าย “ภัยสงคราม” และยังคงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย
“ไม่ใช่สงคราม แต่เป็นเหตุปะทะ” — บริษัทประกันต้องจ่าย
นายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ คปภ. สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เปิดเผยว่า
“เหตุการณ์ดังกล่าวแม้จะเกี่ยวข้องกับกองกำลังทหารของสองประเทศ แต่ไม่เข้าข่ายสงครามเต็มรูปแบบระหว่างรัฐ เป็นเพียงการปะทะที่เกิดขึ้นในพื้นที่จำกัดและในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้น ไม่สามารถนำมาอ้างเพื่อปฏิเสธความคุ้มครองได้”
เจ้าของสถานีบริการได้ทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) ซึ่งครอบคลุมตัวอาคารในปั๊มโดยตรง คปภ.จึงย้ำว่า บริษัทประกันต้องรับผิดชอบในการชดเชยความเสียหาย
สินไหมกรุณา – ยื่นมือช่วย แม้ไม่อยู่ในกรมธรรม์
สำหรับกรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ซึ่งบางรายไม่ได้อยู่ในขอบเขตของประกันภัยโดยตรง คปภ.ได้ร้องขอให้บริษัทประกันพิจารณาจ่าย “สินไหมกรุณา” หรือ Ex-gratia Payment เพื่อช่วยเยียวยาผู้เสียหายด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้ไม่อยู่ในเงื่อนไขกรมธรรม์ก็ตาม
OR ลงพื้นที่ช่วยทันที – พร้อมซ่อมแซมปั๊มทันทีหลังคืนพื้นที่
ตัวแทนจากบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (โออาร์) ระบุว่า ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บทันทีหลังเกิดเหตุ พร้อมเตรียมเข้าไปซ่อมแซมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับความเสียหายทันทีหลังจากหน่วยงานความมั่นคงเคลียร์พื้นที่ปลอดภัยจากวัตถุระเบิดเรียบร้อย
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ – “ประชาชนบริสุทธิ์ไม่ควรตกเป็นเหยื่อความขัดแย้ง”
นางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการที่ได้รับผลกระทบกล่าวว่า
“นี่ไม่ใช่สงครามของประชาชน แต่พวกเรากลับได้รับผลเต็ม ๆ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สถานีต้องปิดบริการนานกว่า 3 เดือน ความเสียหายมากกว่า 21 ล้านบาท ขณะที่ยังผ่อนธนาคารไม่หมด”
กรณี รถพังจากเหตุการณ์ยิงจรวด BM-21 หรืออาวุธจากการปะทะชายแดน แบบที่เกิดขึ้นล่าสุดใน จ.ศรีสะเกษ
✅ เคลมได้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ดังนี้
1. ถ้ารถทำประกันชั้น 1
- 
✅ เคลมได้ในกรณีนี้แน่นอน เพราะชั้น 1 ครอบคลุมทุกความเสียหายที่เกิดจาก “ภัยภายนอก” รวมถึงระเบิด ไฟไหม้ วัตถุจากภายนอก (เช่น จรวด, กระสุน)
 - 
แม้จะมีเงื่อนไข ยกเว้นภัยสงคราม แต่ คปภ. ได้ตีความเหตุการณ์นี้ว่า “ไม่ใช่สงคราม” จึงอยู่ในการคุ้มครอง
 
2. ถ้าทำประกันชั้น 2+ หรือ 3+
- 
✅ เคลมได้ในกรณีรถถูกชนจากคู่กรณี identifiable เท่านั้น
 - 
❌ แต่ถ้าเป็นกรณีรถจอดอยู่แล้วโดนอาวุธจากการยิง – จะเคลมไม่ได้ เพราะไม่ถือว่ามี “คู่กรณี”
 
3. ประกันชั้น 3
- 
❌ ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อรถของเราเลย (คุ้มครองแค่คู่กรณี)
 
