CEO ฟอร์ดเตือนสหรัฐฯ เสี่ยงพ่าย “อุตสาหกรรมยานยนต์จีน” เติบโตเร็ว แรง และล้ำกว่าเดิมทุกมิติ

CEO ฟอร์ดเตือนสหรัฐฯ เสี่ยงพ่าย “อุตสาหกรรมยานยนต์จีน” เติบโตเร็ว แรง และล้ำกว่าเดิมทุกมิติ
Spread the love
Advertisement Advertisement

Ford ช็อกวงการ! CEO ยอมรับ “จีนคือเวอร์ชันอัปเกรดของญี่ปุ่นยุค 80” เตือนแรง – อาจทำให้ค่ายรถอเมริกันล้มทั้งแผง

30 ตุลาคม 2025 รายงาน ว่า Jim Farley ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ford Motor Company ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ CBS Sunday Morning พร้อมคำเตือนแรงสะเทือนทั้งวงการรถยนต์โลกว่า

“จีนในตอนนี้ คือเวอร์ชันอัปเกรดของญี่ปุ่นยุค 80 แต่รุนแรงกว่ามาก”

คำพูดนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ แต่สะท้อนความจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด — เพราะจีนไม่ได้แค่ผลิตรถได้มาก แต่ “ผลิตได้เร็วกว่า ถูกกว่า และฉลาดกว่า”

จากญี่ปุ่นยุค 80 → สู่จีนยุค 2020s ประวัติศาสตร์ที่กลับมาซ้ำอีกครั้ง

ย้อนกลับไปใน ปี 1980 ญี่ปุ่นเคยเป็น “ยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์โลก” Toyota, Nissan, Honda กลายเป็นฝันร้ายของ Ford และ GM ด้วยรถที่ราคาถูกกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า และคุณภาพดีกว่าอย่างชัดเจน

ในปีนั้น ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์กว่า 11 ล้านคัน มากที่สุดในโลก และเพียงปีเดียวต่อมา สหรัฐฯ ต้องออกมาตรการ “จำกัดการนำเข้ารถญี่ปุ่นโดยสมัครใจ” (Voluntary Export Restraint) เพื่อลดการไหลบ่าของรถจากแดนปลาดิบที่ถล่มตลาดจน Ford และ GM สูญเสียส่วนแบ่งอย่างหนัก

แต่สิ่งที่ Farley พูดถึงตอนนี้คือ “สถานการณ์เดิมกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง” เพียงแต่ครั้งนี้ผู้เล่นไม่ใช่ญี่ปุ่น… แต่คือ จีน ซึ่งมีทั้ง “เทคโนโลยี + กำลังผลิต + รัฐบาลหนุนหลัง” ครบสูตรในระดับที่อเมริกาอาจต้านไม่ไหว

“จีนมีโรงงานมากพอจะป้อนทั้งอเมริกาเหนือ”  คำเตือนจาก Farley

Farley กล่าวในรายการว่า

“จีนตอนนี้มีกำลังการผลิตมากพอจะป้อนทั้งตลาดอเมริกาเหนือได้หมด และถ้าพวกเขาต้องการ พวกเขาสามารถทำให้ค่ายรถอเมริกันทั้งหมดล้มละลายได้ในเวลาไม่นาน”

เขาย้ำว่าในขณะที่ญี่ปุ่นยุค 80 ยังมีข้อจำกัดทางโลจิสติกส์และต้นทุน แต่ จีนวันนี้มีระบบซัพพลายเชนครบวงจร ตั้งแต่แบตเตอรี่ ชิป เซนเซอร์ ไปจนถึงซอฟต์แวร์ ซึ่งทำให้พวกเขาควบคุมทั้งห่วงโซ่ได้ดีกว่าญี่ปุ่นในอดีตหลายเท่า

จีน ผู้นำเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า “ของจริง”

Farley ยอมรับตรง ๆ ว่า สิ่งที่จีนทำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้น “น่าทึ่งที่สุดที่เคยเห็นมา” โดยเฉพาะความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีและการบูรณาการระบบดิจิทัลในรถ

Advertisement Advertisement

“พวกเขาไม่ได้แค่สร้างรถที่วิ่งด้วยไฟฟ้า แต่สร้างประสบการณ์ดิจิทัลเต็มรูปแบบในรถคันนั้นด้วย”
“Huawei และ Xiaomi ผสานระบบซอฟต์แวร์จนเมื่อคุณขึ้นรถ ชีวิตดิจิทัลทั้งหมดจะเชื่อมเข้ากับระบบโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องจับโทรศัพท์เลย”

นี่คือสิ่งที่ค่ายอเมริกันยังตามไม่ทัน — เพราะค่ายสหรัฐฯ ยังคิดในกรอบของ “รถยนต์เป็นสินค้า” แต่ค่ายจีนมอง “รถยนต์เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและบริการดิจิทัล”

“จีนคือกอริลลา 700 ปอนด์” ของวงการ EV โลก

ในพอดแคสต์ Decoder ของ The Verge เดือนกันยายนที่ผ่านมา Farley พูดชัดเจนว่า

“Tesla, GM หรือ Ford เอง ยังไม่สามารถต่อกรกับจีนได้เลย”
“จีนคือกอริลลา 700 ปอนด์ที่ครองวงการรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังขยายอิทธิพลออกไปทั่วโลก”

คำพูดนี้ไม่ใช่แค่ยอมรับความเหนือกว่า แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าค่ายรถตะวันตกอาจต้องเปลี่ยนกลยุทธ์โดยสิ้นเชิง หากไม่อยากตกขบวนในยุคที่จีนกลายเป็นผู้กำหนดเกม

อเมริกากลับลดแรงหนุน EV  สวนทางกับกระแสโลก

ปัญหาคือในขณะที่จีนเร่งเร้าเต็มสูบ สหรัฐฯ กลับ “ถอยหลัง” เมื่อรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกนโยบายสนับสนุนรถ EV ระดับประเทศ ทำให้ตลาด EV ในอเมริกามีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจน

Farley ประเมินว่า

“ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ อาจลดลงครึ่งหนึ่งในระยะสั้น”
และเชื่อว่า “สัดส่วน EV ในตลาดจะเหลือเพียง 5% ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นกลับ เมื่อมีรถราคาย่อมเยาออกสู่ตลาด”

ขณะที่จีนในปีเดียวกัน มียอดขายรถไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดรวมกันทะลุ 10 ล้านคัน — มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 6 เท่า

Farley ขับ “Xiaomi SU7” เอง เพื่อเรียนรู้คู่แข่งจากจีน

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจคือ Farley เปิดเผยว่า เขาขับรถ Xiaomi SU7 ของจีนจริง ๆ โดยนำเข้าจากเซี่ยงไฮ้มายังชิคาโก เพื่อใช้งานส่วนตัว

“ผู้บริโภคอเมริกันก็อยากได้รถแบบ SU7 เพราะมันมีคุณภาพสูงและให้ประสบการณ์ดิจิทัลที่ยอดเยี่ยม”
“ผมเลือกขับรถจีน เพราะอยากเข้าใจพวกเขาให้มากขึ้น — ถ้าอยากเอาชนะ ต้องเข้าใจคู่แข่งให้ลึกซึ้ง”

นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน — CEO ของค่ายอเมริกันระดับตำนาน ขับรถจากคู่แข่งโดยสมัครใจ เพื่อเรียนรู้ว่าทำไมคนทั่วโลกถึงหลงใหลในแบรนด์จีน

บทสรุป ศึกศตวรรษใหม่ — “Detroit vs Shenzhen”

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่แค่การแข่งขันทางยานยนต์ แต่คือ ศึกของสองระบบเศรษฐกิจ ฝั่งหนึ่งคือ “ดีทรอยต์” ตำนานแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์โลก
อีกฝั่งคือ “เสิ่นเจิ้น” เมืองเทคโนโลยีที่กลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

Jim Farley กำลังสะท้อนให้เห็นว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว “การแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องรถยนต์ แต่คืออนาคตของเศรษฐกิจทั้งระบบ ถ้า Ford แพ้ ก็อาจไม่มี Ford เหลื

evsforallamerica

Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้