708,000 คันสั่นสะเทือน! Honda อาจเจอเรียกคืนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เรื่องความปลอดภัย
 
						 
  
 
“ฮอนด้า” เจอศึกใหญ่ในอเมริกา! รัฐบาลสหรัฐฯ เปิด 3 คดีสอบสวนความปลอดภัย ครอบคลุมรถกว่า 7 แสนคัน
ในขณะที่ “Ford” ถูกล้อว่าเป็น ราชาแห่งการเรียกคืน (Recall King) เพราะมีการเรียกคืนรถยนต์บ่อยที่สุดในอุตสาหกรรม ตอนนี้ค่ายคู่แข่งจากญี่ปุ่นอย่าง Honda ก็กำลังถูกจับตาอย่างหนัก หลังจากหน่วยงาน NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) หรือ สำนักงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เปิด การสอบสวน 3 คดีพร้อมกัน ในช่วงเวลาเดียว
การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลในระดับรัฐบาล ว่าปัญหาทางเทคนิคในรถยนต์ Honda อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมากทั่วประเทศ โดยรวมแล้วมีรถที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า 708,000 คัน
คดีที่ 1 ถุงลมนิรภัย “ระเบิดเอง” ใน Honda Odyssey 2018–2022
หนึ่งในคดีที่น่ากลัวที่สุด คือการร้องเรียนว่า ถุงลมนิรภัยด้านข้างของ Honda Odyssey รุ่นปี 2018–2022 สามารถทำงานเองโดยไม่มีการชนรุนแรง
มีผู้ใช้ยื่นร้องเรียน 18 ราย โดยเล่าว่า ถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) ทำงานทันทีหลังจากรถกระแทกหลุมหรือเจอถนนขรุขระเล็กน้อย ทั้งที่ในทางเทคนิคแล้ว แรงสะเทือนระดับนั้นไม่ควรทำให้ระบบถุงลมตอบสนองเลย
สิ่งนี้ทำให้เกิดอันตรายสองทาง
- 
ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดของถุงลม 
- 
ผู้ขับตกใจและอาจเสียการควบคุมรถจนเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน 
NHTSA เปิดเผยว่ามีอย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ที่มีรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บสองรายจากปัญหานี้ ขณะนี้หน่วยงาน Office of Defects Investigation (ODI) กำลังตรวจสอบว่า
- 
ปัญหาเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน 
- 
มีความสัมพันธ์กับชุดถุงลม หรือเซนเซอร์ตรวจจับแรงกระแทกหรือไม่ 
- 
และจะต้องมีการเรียกคืนหรือปรับปรุงซอฟต์แวร์ของระบบควบคุมถุงลม (SRS Control Unit) หรือไม่ 
หากพบว่าเป็นปัญหาทางโครงสร้างหรือระบบไฟฟ้ากลาง นี่อาจกลายเป็น การเรียกคืนครั้งใหญ่ระดับประเทศ เพราะ Odyssey ถือเป็นหนึ่งในมินิแวนยอดนิยมของชาวอเมริกัน
คดีที่ 2 ระบบเตือนเข็มขัดนิรภัยผิดพลาดใน Honda Pilot 2023–2024
คดีต่อมามีความละเอียดอ่อน แต่ส่งผลโดยตรงต่อ “ความปลอดภัยของเด็กและผู้โดยสารเบาะหลัง”
เจ้าหน้าที่ได้รับ 6 คำร้องเรียน จากเจ้าของรถ Honda Pilot รุ่นปี 2023–2024 โดยทั้งหมดรายงานว่า ระบบแจ้งเตือนเข็มขัดนิรภัยเบาะหลัง (Rear Seat Belt Warning System) แสดงผลผิดพลาด — ทั้ง “แจ้งเตือนว่ามีคนนั่งแต่ไม่ได้คาด” ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ และ “ไม่เตือน” ทั้งที่มีผู้โดยสารจริง ๆ
ระบบนี้ถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ของความปลอดภัยในยุคใหม่ โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กโดยสารด้านหลัง เพราะหากระบบเตือนทำงานผิดพลาด ผู้ขับอาจเข้าใจผิดว่าเด็กคาดเข็มขัดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้คาดจริง อาจนำไปสู่ อุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อเกิดการชน
การสอบสวนยังอยู่ในขั้น Preliminary Evaluation (การประเมินเบื้องต้น) เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เช่น
- 
ข้อมูลจากศูนย์บริการ Honda 
- 
รายงานภาคสนาม 
- 
และซอฟต์แวร์ระบบตรวจจับแรงกดเบาะหลัง (Seat Occupant Sensor Module) 
หากพบว่าเป็นปัญหาทางซอฟต์แวร์ ระบบเตือนนี้อาจต้องมีการ อัปเดตซอฟต์แวร์ (software recall) ทั่วประเทศ
คดีที่ 3 Honda CR-V Hybrid 2020–2022 “ดับเองกลางทางด่วน”
นี่คือคดีที่มีผลกระทบสูงต่อการขับขี่จริง เพราะเกี่ยวข้องกับ การสูญเสียแรงขับเคลื่อน (Loss of Drive Power) ใน Honda CR-V Hybrid รุ่นปี 2020–2022
มีรายงานร้องเรียน 48 กรณี ว่า เครื่องยนต์หรือระบบขับเคลื่อนของรถอาจ “ดับ” ทันทีขณะวิ่งบนทางหลวง แม้กำลังขับอยู่ด้วยความเร็วสูง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ระบุว่า ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับจะมี ไฟ Check Engine กระพริบ แล้วตามด้วยการสูญเสียกำลังขับ ต้องรีบ จอดข้างทาง รีสตาร์ทรถใหม่ ซึ่งจะทำให้รถกลับมาวิ่งได้ แต่เมื่อระบบถูกรีเซ็ต โค้ดความผิดพลาด (Fault Code) ก็หายไป ทำให้ศูนย์บริการไม่สามารถตรวจพบต้นเหตุได้
การสอบสวนจึงเน้นไปที่ระบบ ไฮบริดควบคุมพลังงาน (Hybrid Power Control Unit) และซอฟต์แวร์ที่จัดการแรงดันไฟฟ้าแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งอาจมี “จุดอ่อนทางซอฟต์แวร์” ที่ทำให้เกิดการป้องกันเกินจำเป็น (Fail-safe) จนตัดพลังงานผิดพลาด
หากปัญหานี้ยืนยันได้จริง อาจกระทบต่อรถกว่า 124,795 คัน ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ
รวมยอดทั้งหมดกว่า 708,000 คัน
เมื่อรวมทั้งสามคดีแล้ว การสอบสวนของ NHTSA ครอบคลุมรถยนต์ Honda ทั้งหมดประมาณ 708,369 คัน
โดยแบ่งดังนี้
- 
Odyssey 2018–2022: 441,002 คัน 
- 
Pilot 2023–2024: ยังไม่ระบุแน่ชัด 
- 
CR-V Hybrid 2020–2022: 124,795 คัน 
ในขณะนี้ทั้งหมดเป็นเพียง “การสอบสวนเบื้องต้น” (Preliminary Evaluation) แต่หากมีหลักฐานชัดเจน ก็อาจนำไปสู่ “การเรียกคืน (Recall)” ครั้งใหญ่ในภายหลัง
วิเคราะห์เชิงอุตสาหกรรม Honda ต้องรับแรงกดดันรอบด้าน
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดคดีสอบสวนถึง 3 เรื่องในเวลาใกล้กัน สะท้อนว่า Honda กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งด้านเทคนิคและภาพลักษณ์
- 
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในตลาดอเมริกา Honda เคยได้รับชื่อเสียงด้าน “ความทนทานและความปลอดภัย” การมีคดีสอบสวนความปลอดภัยพร้อมกัน 3 เรื่องอาจทำให้ผู้บริโภคลังเล โดยเฉพาะในครอบครัวที่นิยม Odyssey และ CR-V 
- 
ต้นทุนเรียกคืนสูงมากหากพบความผิดจริง หากต้องเรียกคืน 700,000 คันจริง ค่าใช้จ่ายอาจแตะหลายพันล้านบาท โดยเฉพาะกรณีถุงลมนิรภัย ซึ่งต้องเปลี่ยนอุปกรณ์จริงทุกคัน 
- 
ภาพลักษณ์เทียบคู่แข่ง Ford อาจเป็นค่ายที่ถูกล้อว่า “Recall King” แต่ตอนนี้ Honda ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ เพราะตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญที่สุดของแบรนด์ญี่ปุ่นนี้ หากเสียความเชื่อมั่นไป การฟื้นฟูจะใช้เวลานานมาก 
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ค่ายรถญี่ปุ่นอย่าง Honda จะมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยเพียงใด แต่ในยุคที่รถยนต์สมัยใหม่เต็มไปด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ การผิดพลาดเพียงจุดเล็ก ๆ อาจกลายเป็น ปัญหาใหญ่ระดับประเทศ ได้
ขณะนี้ผู้ใช้รถ Honda ในอเมริกาจำนวนมากกำลังจับตาผลสอบสวนจาก NHTSA อย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจเป็น “ระเบิดเวลา” ที่ส่งผลต่อทั้ง ความปลอดภัยบนถนน และความเชื่อมั่นในแบรนด์ระดับโลกของ Honda
 
 
