BYD ช็อกตลาด! กำไรไตรมาส 3 ร่วง 32% รายได้หดครั้งแรกในรอบหลายปี ติดลบไตรมาส 2 ติดต่อกัน
 
						BYD กำไรดิ่ง 32.6%! ยอดขายรถพลังงานใหม่ชะลอตัวครั้งแรกในรอบ 4 ปี สะท้อนแรงกดดัน “สงครามราคา EV” จีนเดือด
BYD ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) รายใหญ่ที่สุดของจีน เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 มีกำไรสุทธิลดลงแรงถึง 32.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือเพียง 7.82 พันล้านหยวน (ราว 35,500 ล้านบาท) หรือเฉลี่ยกำไรคันละ 31,861 บาท จากการขายรถ 1.11 ล้านคันใน Q3 2025 นับเป็น “การลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง” หลังยอดขายรถ EV และ PHEV ชะลอตัวท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงในตลาดภายในประเทศ
กำไรและรายได้หดตัวครั้งแรกในรอบหลายปี
รายงานผลประกอบการระบุว่า
- รายได้รวมไตรมาส 3 อยู่ที่ 195 พันล้านหยวน (ประมาณ 885,300 ล้านบาท) ลดลง 3.05% YoY — ซึ่งถือเป็น “การลดลงของรายได้ครั้งแรกในรอบหลายปี” ของ BYD
- เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รายได้ลดลงอีก 2.95%
- สาเหตุหลักมาจาก ยอดขายในธุรกิจรถยนต์ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ในขณะที่ กำไรสุทธิหลังตัดรายการพิเศษ อยู่ที่ 6.89 พันล้านหยวน (ราว 31,300 ล้านบาท) ลดลง 36.65% YoY ตัวเลขนี้สะท้อนว่า “กำไรจากการดำเนินธุรกิจหลัก” ของ BYD เริ่มเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก
ต้นทุนพุ่ง กำไรขั้นต้นหดเหลือ 17.6%
BYD เผยว่าต้นทุนการดำเนินงานในไตรมาสนี้สูงถึง 160.64 พันล้านหยวน (ราว 729,300 ล้านบาท) ส่งผลให้ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ลดลงเหลือเพียง 17.61% ลดลงจากปีก่อน 6.13 จุดเปอร์เซ็นต์ แม้จะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2 (+1.35 จุดเปอร์เซ็นต์) แต่ก็สะท้อนแรงกดดันต้นทุนและการตัดราคาที่รุนแรงในตลาด EV จีน
ยอดขาย NEV ลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021
จุดที่น่าจับตาคือยอดขายรถพลังงานใหม่ (NEV) — ซึ่งรวมทั้งรถไฟฟ้า (BEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) — BYD มียอดขายรวมในไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,114,192 คัน ลดลง 1.82% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นี่เป็น ครั้งแรกที่ยอดขายรายไตรมาสของ BYD ลดลง YoY ตั้งแต่ต้นปี 2021
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การลดลงนี้มาจาก “แรงกดดันในตลาดภายในประเทศ” หลังคู่แข่งอย่าง Geely, GAC Aion, Changan Deepal, Leapmotor, NIO, XPeng และผู้เล่นใหม่อย่าง Huawei AITO เข้าสู่ “สงครามราคา” อย่างเต็มรูปแบบ หลายค่ายลดราคาลงกว่า 10–15% เพื่อดึงยอดขาย ทำให้กำไรต่อคันของ BYD ถูกบีบลงอย่างเห็นได้ชัด
สรุปผลรวม 9 เดือนแรกของปี 2025
แม้ไตรมาสล่าสุดจะอ่อนแรง แต่ภาพรวมทั้ง 9 เดือนแรกของปี BYD ยังแสดงสัญญาณเติบโตบางส่วน
| รายการ | จำนวนเงิน (หยวน) | คิดเป็นบาท (THB) | เปลี่ยนแปลง YoY | 
|---|---|---|---|
| กำไรสุทธิรวม (Jan–Sep) | 23.33 พันล้าน | ≈ 106,900 ล้านบาท | -7.55% | 
| รายได้รวม (Jan–Sep) | 566.27 พันล้าน | ≈ 2.57 ล้านล้านบาท | +12.75% | 
แม้รายได้รวมยังเติบโต 12.75% แต่กำไรลดลงจากแรงบีบของ “ราคาและต้นทุน”
ในด้านยอดขายยอดขายรวมของ BYD ในสามไตรมาสแรกอยู่ที่ 3,260,146 คัน เพิ่มขึ้น 18.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี และยังคงรักษาตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนไว้ได้
นอกจากนี้ BYD ยังได้เพิ่มการลงทุนและขยายกิจการในตลาดต่างประเทศในปีนี้ โดยยอดขายส่งออกของบริษัทใกล้เคียงกับ Chery และเริ่มที่จะท้าทายตำแหน่งสูงสุดในการส่งออกรถยนต์ของจีน
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายนปีนี้ BYD ส่งออกรถยนต์สะสมได้ 701,579 คัน เพิ่มขึ้น 107% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำให้เป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในบรรดาผู้ส่งออกรถยนต์ในประเทศ
วิเคราะห์แนวโน้ม BYD เจอ “จุดเปลี่ยนใหญ่”
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมมองว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 นี้เป็น “สัญญาณเตือน” ว่า BYD กำลังเข้าสู่ช่วง การเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่การเติบโตเชิงคุณภาพหรือกล่าวได้ว่า “ยุคขายเยอะกำไรน้อย” ได้เริ่มขึ้นแล้วในตลาดรถ EV ของจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังรัฐบาลจีนเริ่มลดแรงจูงใจทางภาษีและสิทธิประโยชน์บางส่วน ทำให้การแข่งขันยิ่งรุนแรงขณะเดียวกัน BYD ยังต้องลงทุนมหาศาลในการขยายโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น ประเทศไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย) และในยุโรป เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดจีน
มุมมองระยะกลาง ยังแข็งแกร่งแต่ต้องปรับกลยุทธ์
แม้ตัวเลขกำไรจะลดลง แต่ BYD ยังคงเป็น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกในเชิงปริมาณ และยังคงมีจุดแข็งในด้านห่วงโซ่อุปทานครบวงจร ตั้งแต่แบตเตอรี่ (BYD FinDreams) ไปจนถึงมอเตอร์และชิปควบคุม
นักวิเคราะห์เชื่อว่า BYD อาจใช้ “ช่วงชะลอตัวนี้” เพื่อปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับตลาดพรีเมียมมากขึ้น เช่น Denza, Fang Cheng Bao และ Yangwang (U8, U9) ซึ่งจะช่วยยกระดับกำไรต่อคันในระยะยาว
สรุปโดยรวม
“รายได้ลดลงครั้งแรกในรอบหลายปี หรือ 3 ปีนับจากปี 2021 และกำไรหดตัวกว่า 30% คือสัญญาณเตือนว่า สงครามราคา EV ในจีนได้กลายเป็นสนามรบจริงจังที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ยุคใหม่”
BYD อาจยังเป็น “ราชาแห่งยอดขาย” แต่สงครามครั้งนี้ไม่ได้ตัดสินกันที่จำนวนคัน แต่อยู่ที่ว่าใครจะรอดพร้อมกำไรที่ยั่งยืนที่สุด
 
  
 

 
  
  
  
  
  
 