ครม.ทบทวนมาตรการ EV3.0 ขยายกรอบ “ผลิตชดเชย” เพิ่มความยืดหยุ่น ลดเสี่ยงรถล้น–สงครามราคา

ครม.ทบทวนมาตรการ EV3.0 ขยายกรอบ “ผลิตชดเชย” เพิ่มความยืดหยุ่น ลดเสี่ยงรถล้น–สงครามราคา
Spread the love
Advertisement Advertisement

ครม.ทบทวนมาตรการ EV3 ขยายกรอบ “ผลิตชดเชย” เพิ่มความยืดหยุ่น ลดเสี่ยงรถล้น–สงครามราคา


เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 รัฐบาลเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ “การทบทวนมติ ครม.” เดิม (8 เมษายน 2568) ในประเด็นการขยายเวลาหรือการเพิ่มความยืดหยุ่นด้าน “การผลิตชดเชย” ภายใต้มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV3) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุตสาหกรรม EV ที่เปลี่ยนเร็ว และลดความเสี่ยงด้านตลาดในประเทศ โดยเฉพาะปัญหา Oversupply และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง

สรุปประเด็นสำคัญ “ขยายเวลา EV3” ขยายอะไรแน่

ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “ขยายเวลา EV3” แต่ในสาระสำคัญของมติครั้งนี้ เป็นการปรับแนวทางให้ยืดหยุ่นขึ้นในส่วน “การผลิตชดเชย” (การผลิตในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้า) ภายใต้มาตรการ EV3 ไม่ใช่การประกาศต่ออายุเงินอุดหนุนแบบเหมารวมทุกเงื่อนไข

  • ขยาย/ทบทวนกรอบ “การผลิตชดเชย” เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเร่งผลิตจนเกินดีมานด์จริง
  • เพิ่มความคล่องตัวการกำกับดูแล ลดขั้นตอนการปรับเงื่อนไขในระดับ ครม.
  • ลดความเสี่ยงตลาดล้น (Oversupply) และลดโอกาสเกิด “สงครามราคา” ที่กระทบเสถียรภาพอุตสาหกรรม

ทำไมรัฐบาลต้องทบทวน EV3 ตอนนี้

รัฐบาลให้เหตุผลเชิงนโยบายว่า สถานการณ์ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศมีความผันผวนสูง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิต ความพร้อมของซัพพลายเชน และแรงกดดันการแข่งขัน หากใช้กรอบเวลาที่ “แข็งเกินไป” อาจทำให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตเพื่อให้ทันเงื่อนไขชดเชย จนนำไปสู่สินค้าคงค้างและการตัดราคา ซึ่งกระทบทั้งผู้ผลิต ดีลเลอร์ และความเชื่อมั่นของตลาด

จุดเปลี่ยนสำคัญ ให้อำนาจ “กรมสรรพสามิต” ออกกฎระเบียบได้โดยตรง

อีกหัวใจของการทบทวนมติครั้งนี้ คือการปรับบทบาทการดำเนินการให้ กรมสรรพสามิต สามารถออกกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ “โดยตรง” ภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรการ EV3 และ EV3.5 มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดขั้นตอนการนำเรื่องขึ้นสู่ ครม.

ในเชิงปฏิบัติ กลไกนี้มักถูกมองว่าเป็นการ “เพิ่มสปีดการบริหารนโยบาย” เพราะตลาด EV เปลี่ยนเร็ว การปรับรายละเอียดเชิงเทคนิค (เงื่อนไข/ขั้นตอน) หากต้องรอรอบการพิจารณาระดับสูงทุกครั้ง อาจไม่ทันสถานการณ์จริง

ผลต่อผู้ประกอบการ ได้ “ความยืดหยุ่น” มากขึ้น แต่อุตสาหกรรมยังเดินเกมเดิม

รัฐบาลชี้ว่า การปรับแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเสี่ยงจากการผลิตล้นตลาด และช่วยป้องกันผลกระทบจากความผันผวนเศรษฐกิจโลก รวมถึงล ความเสี่ยง “สงครามราคา” ที่อาจทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศเสียสมดุล

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรม มาตรการส่งเสริม EV ของไทยยังคงถูกวางเป็น “กลไกหลัก” เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ ยานยนต์แห่งอนาคต (Zero Emission Vehicle: ZEV) โดยมุ่งรักษาฐานการผลิต เพิ่มขีดแข่งขัน และต่อยอดไทยสู่ฐานการผลิต EV และชิ้นส่วนสำคัญระดับโลก

EV3 กับ EV3.5 เกี่ยวข้องกันอย่างไร (เข้าใจแบบไม่สับสน)

ในภาคนโยบาย รัฐเดินคู่ทั้ง EV3 และ EV3.5 โดยการทบทวนมติ EV3 ครั้งนี้เป็นการ “ปรับกลไก” เพื่อให้การดำเนินงานทั้งสองมาตรการมีความคล่องตัวขึ้น
ขณะที่รายละเอียดเชิงลึกของเงื่อนไข (เช่น ระยะเวลาบางรายการหรือการอำนวยความสะดวกด้านกระบวนการ) มีการสื่อสารผ่านหน่วยงานรัฐและสื่อเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2568

มุมมองเชิงตลาด ทำไม “ลดเสี่ยง Oversupply” จึงสำคัญกว่าที่คิด

หากผู้ประกอบการถูกบีบให้ต้องเร่งผลิตเพื่อให้ครบเงื่อนไขชดเชยในช่วงเวลาสั้น ๆ ขณะที่กำลังซื้อหรือจังหวะตลาดไม่รองรับ ผลที่มักเกิดคือ “รถล้นสต็อก” และการทำโปรโมชั่นตัดราคาหนักเพื่อระบาย ซึ่งอาจกระทบตั้งแต่มูลค่ารถมือสอง ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ไปจนถึงความสามารถทำกำไรเพื่อพัฒนาบริการหลังการขาย รัฐจึงเลือกใช้แนวทาง “เพิ่มความยืดหยุ่น” เพื่อประคองทั้งอุปสงค์และอุปทานให้สมดุลมากขึ้น

Advertisement Advertisement

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1) สรุปแล้ว “ขยายเวลา EV3.0” จริงไหม

เป็นการทบทวนและปรับแนวทางเพื่อ ขยาย/เพิ่มความยืดหยุ่นของกรอบ “การผลิตชดเชย” ภายใต้มาตรการ EV3 ตามที่รัฐบาลสื่อสาร ไม่ใช่การต่ออายุเงินอุดหนุนแบบครอบคลุมทุกเงื่อนไข

2) ทำไมต้องให้สรรพสามิตออกกฎเอง

เพื่อให้การบริหารมาตรการ EV3/EV3.5 “คล่องตัว” และลดขั้นตอนการนำเรื่องกลับไปพิจารณาระดับ ครม. ทุกครั้ง ทำให้ปรับรายละเอียดได้รวดเร็วขึ้นตามสถานการณ์อุตสาหกรรม

3) ผู้บริโภคได้อะไรจากเรื่องนี้

ทางอ้อม ผู้บริโภคมีโอกาสได้ประโยชน์จาก “ตลาดที่เสถียรขึ้น” ลดแรงเหวี่ยงของสงครามราคา และช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเร่งผลิตจนกระทบคุณภาพ/บริการหลังการขายในระยะยาว

สรุป

มติ ครม. วันที่ 23 ธันวาคม 2568 ว่าด้วยการทบทวน EV3 คือการ “ปรับกลไกให้ยืดหยุ่น” โดยเฉพาะด้านการผลิตชดเชย เพื่อลดความเสี่ยง Oversupply และสงครามราคา พร้อมกันนั้นยังเป็นการปรับโครงสร้างการกำกับดูแลให้กรมสรรพสามิตสามารถออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง เพื่อให้การขับเคลื่อน EV3 และ EV3.5 เดินหน้าได้มีประสิทธิภาพ และสอดรับกับเป้าหมาย ZEV ของประเทศ

จำนวน “การผลิตชดเชย” ในมาตรการ EV3.0

หลักการของ EV3.0 นำเข้าได้ก่อน → ต้องผลิตในประเทศเพื่อชดเชยภายหลัง

อัตราการผลิตชดเชย (EV3.0)

รายการ จำนวน
นำเข้า EV ได้รับสิทธิอุดหนุน 1 คัน
ต้องผลิต EV ในประเทศเพื่อชดเชย 1 คัน
อัตราการชดเชย 1 : 1
ลักษณะ ผลิต “ตามหลัง” การนำเข้า
กรอบเวลาเดิม ตายตัวและค่อนข้างตึง
สถานะปัจจุบัน ผ่อนคลายกรอบเวลา (ไม่เพิ่มจำนวน)

สรุป EV3.0 แบบสั้นมาก

นำเข้า 1 คัน → ต้องผลิตในไทย 1 คัน
❌ ไม่ได้เพิ่มเป็น 1.5 หรือ 2
✔️ แค่ “ผ่อนเวลา” ไม่ให้เร่งผลิตจนรถล้นตลาด


จำนวน “การผลิตชดเชย” ในมาตรการ EV3.5

หลักการของ EV3.5 ลดเงินอุดหนุน แต่บังคับโครงสร้างการผลิตในประเทศให้ชัดตั้งแต่ต้น

อัตราการผลิตชดเชย (EV3.5)

รายการ จำนวน
นำเข้า EV ได้จำกัดกว่า EV3.0
ต้องมีแผนผลิตในประเทศ ตั้งแต่เริ่มโครงการ
อัตราการชดเชย อย่างน้อย 1 : 1
ลักษณะ นำเข้า + ผลิต “เดินคู่กัน”
เงื่อนไขเสริม เน้น Local Content มากขึ้น
เป้าหมาย ลดการนำเข้าอย่างเดียว

สรุป EV3.5 แบบชัด ๆ

ไม่ใช่เอาเข้ามาขายก่อนแล้วค่อยคิด แต่ต้อง “มีของผลิตจริงในประเทศ” ควบคู่ยอดขาย

เปรียบเทียบจำนวนแบบเข้าใจ

ประเด็น EV3.0 EV3.5
นำเข้าได้ก่อน ✔️ จำกัด
จำนวนผลิตชดเชย 1 คัน / นำเข้า 1 คัน ≥ 1 คัน / นำเข้า 1 คัน
จังหวะการผลิต ตามหลัง เดินคู่
ความเสี่ยงรถล้น สูง (ถ้าตลาดชะลอ) ต่ำกว่า
แนวคิดรัฐ เร่งตลาด คุมโครงสร้าง

thaigov

 
Advertisement Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้