Advertisement

Advertisement

ภาพคันจริงในไทย MG3 HYBRID+ ประหยัด 22.7 กม./ลิตร WLTP เปิดราคาสิงหาคม

ภาพคันจริงในไทย MG3 HYBRID+ ประหยัด 22.7 กม./ลิตร WLTP เปิดราคาสิงหาคม

Advertisement

Advertisement

 

 

 

All New MG3 Hybrid+ พร้อมเปิดตัวในไทยสิงหาคมนี้ ไฮบริด เริ่ม 5xx,xxx บาท

กรุงเทพฯ – 12 กรกฎาคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เตรียมนำเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่เข้ามาใส่ในโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยที่จะเข้ามาจุดประกายตลาดรถยนต์ไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ซึ่งพัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ผสานประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ความประหยัด และความเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว สู่การยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่และสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืนและการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ

HYBRID+ ในแบบฉบับของ เอ็มจี ที่ทำงานได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว

หลังจากที่ ALL NEW MG3 HYBRID+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโก ก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อและผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัด โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ HYBRID+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลังและการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC MOTOR CORPORATION ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว

เจาะลึก 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง

  • โหมดจอดหยุดนิ่ง

ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

  • โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ

  • โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น 

เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น

  • โหมดความเร็ววิ่งในเมือง

แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ไฟส่วนเกินไปเก่วนน่น

  • โหมดความเร็ววิ่งคงที่

เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

  • โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป

  • โหมดความเร็วสูง

และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

  • โหมดลดความเร็ว Regenerative

เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด

ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นและแตกต่างของระบบ HYBRID+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังใช้ไฮบริดมอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย

และนี่คือ ระบบ HYBRID+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ทำให้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ 28 กรกฏาคมนี้

เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด+ 1.5 ลิตร

  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร
  • ระบบส่งกำลัง HYBRID +
  • เครื่องยนต์ให้กำลัง 100 แรงม้า
    • แรงบิด 128 นิวตัน-เมตร
  • มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 134 แรงม้า
    • แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร
  • เครื่องยนต์ + มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวม 194 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุดทั้งระบบ 424 นิวตัน-เมตร
  • ส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีต
  • ความจุของแบตเตอรี่ 1.83kWh – 350V
  • ระบบขับเคลื่อน FWD
  • ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8 วินาที
  • อัตราเร่ง 80 – 120 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที
  • อัตราประหยัดน้ำมัน 22.7 กม./ลิตร WLTP
  • ปล่อย CO2 อยู่ที่ 100 กรัม/กม.
  • 3 โหมดการขับขี่ Eco, Standard และ Sport
  • สามารถวิ่งได้ 800 กม./ถังน้ำมัน

เบนซิน 1.5 ลิตร

  • เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร
  • ให้กำลัง 110 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
  • แรงบิด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที
  • เกียร์อัตโนมัติ CVT
  • ระบบขับเคลื่อน FWD
  • อัตราประหยัดน้ำมัน 16.6 กม./ลิตร
  • ปล่อย C02 139g/km
  • ขนาดถังน้ำมัน 45 ลิตร
  • น้ำหนักตัวรถ 1,199 กก.

ขนาดตัวถัง

  • ความยาว 4,113 มม. (เพิ่มขึ้น 53 มม.)
  • ความกว้าง 1,797 มม. (เพิ่มขึ้น 68 มม.)
  • ความสูง 1,502 มม. (เพิ่มขึ้น 14 มม.)
  • ระยะฐานล้อ 2,570 มม. (เพิ่มขึ้น 50 มม.)
  • น้ำหนัก 1,285 กก.  (เพิ่มขึ้น 70 กก.)
  • ความจุสัมภาระท้ายรถ 293 ลิตร (ลดลง 57 ลิตร)
  • จำนวนที่นั่ง 5 ที่นั่ง

ภาพรวมของ MG3

  • ระบบส่งกำลังไฮบริดขั้นสูงให้ความประหยัด พร้อมสมรรถนะที่ดีเยี่ยม
  • รถยนต์แฮทช์แบ็ก B-segment ไฮบริดที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดมอบคุณประโยชน์ด้านประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง
  • ความจุของแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าคู่แข่งช่วยให้ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้นานขึ้น
  • ระบบไฮบริดอเนกประสงค์มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแยกต่างหาก ทำให้สามารถใช้งานโหมดไฮบริดได้หลายโหมด
  • ระดับการตัดแต่งที่หลากหลายช่วยให้ลูกค้ามีตัวเลือกและความคุ้มค่าที่โดดเด่น
  • ภายในแบบหน้าจอคู่ช่วยเพิ่มความรู้สึกระดับพรีเมียมใน MG3
  • MG iSMART และ MG Pilot มอบการเชื่อมต่อและเพิ่มความปลอดภัย
  • มิติใหม่ที่ใหญ่ขึ้นรวมถึงพื้นที่ผู้โดยสารและพื้นที่บรรทุกที่เพิ่มขึ้น

ด้านการออกแบบ ส่วนหน้าของ MG3 ถูกกำหนดโดยกระจังหน้าขนาดยักษ์ที่ทอดยาวไปทั่วใบหน้าของรถ ขนาบข้างด้วยชุดช่องรับอากาศขนาดใหญ่ที่คล้ายกัน โดยมีตัวแยก ‘คาร์บอนไฟเบอร์’ อยู่ด้านล่าง ในทางตรงกันข้าม ส่วนท้ายออกแบบเรียบง่าย ไฟหน้าแบบ LED ตัวถังที่พลิ้วไหว เส้นฝากระโปรงเด่นชัด และตราสัญลักษณ์ MG ล้ออัลลอยออกแบบใหม่

ภายในของ MG3 มีจอแสดงผลแบบลอยคู่คล้ายกับ MG4 เช่นกัน ทุกรุ่นจะได้รับแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ในขณะที่หน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ววางอยู่บนแผงหน้าปัด MG กล่าวว่ากราฟิกและการตอบสนองของระบบสาระบันเทิง iSmart ได้รับการปรับปรุงสำหรับ MG3 สวิตช์สไตล์เปียโนบนแผงหน้าปัด นอกจากนี้ยังมีปุ่มและแผ่นควบคุมเพิ่มเติมที่อยู่บนพวงมาลัยสี่เหลี่ยมเล็กน้อย (จาก MG4 เช่นกัน) เบาะนั่งบุนวม ลายตารางหมากรุก เย็บตัดกันสีส้มสดใส เบาะคู่หน้าแบบปรับอุณหภูมิได้ พวงมาลัยปรับอุณหภูมิได้ และกล้องจอดรถ 360 องศา

MG3 ใหม่มีความยาวและกว้างกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย ซึ่ง MG กล่าวว่าได้เพิ่มพื้นที่ว่างสำหรับผู้โดยสาร และเพิ่มพื้นที่ท้ายรถจาก 285 เป็น 293 ลิตร

MG3 จะมีให้เลือกสองระดับ ได้แก่ SE และ Trophy โดยแม้แต่รุ่นพื้นฐานก็มีจอแสดงผลคู่, การเชื่อมต่อ Apple CarPlayและAndroid Auto , ระบบนำทางแบบ sat-nav, เครื่องปรับอากาศ, พอร์ตชาร์จ USB 4 พอร์ต, เซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง และกล้องมองหลัง รถยนต์เหล่านี้ยังได้รับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มากมาย เช่น ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้ ระบบเตือนการชนด้านหน้า และระบบช่วยรักษาเลน

“ ด้วยคุณลักษณะทั้งหมดที่จะเป็นผู้นำในระดับเดียวกัน MG3 ใหม่จะนำเสนอการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและสมรรถนะแก่ลูกค้าด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid+ ที่น่าตื่นเต้นของ MG ” Aiden He ซีอีโอของ MG Nordic และ Benelux ให้ความเห็น “ ประณีตยิ่งขึ้น แต่ นอกจากนี้ ยังนำหลักปรัชญาในการขับขี่ที่สนุกสนานของเอ็มจีออกสู่ตลาด โดย MG3 มีอุปกรณ์ครบครันอย่างดีเยี่ยม ทั้งการตกแต่งภายในระดับพรีเมียม และระบบความปลอดภัยของ MG Pilot”

ระบบความปลอดภัย MG Pilot 

  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB): ตรวจจับและเบรกอัตโนมัติเพื่อป้องกันการชน
  • ระบบช่วยควบคุมเลน (LDWS): แจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKAS): ควบคุมรถให้อยู่ในเลนโดยอัตโนมัติ
  • ระบบตรวจจับจุดอับสายตา (BSD): แจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา
  • ระบบเตือนการชนด้านท้าย (RCW): แจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ด้านหลังและมีโอกาสชน
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC): ควบคุมความเร็วรถให้อยู่ในระดับที่กำหนดโดยอัตโนมัติ
  • ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ (APA): จอดรถโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คนขับ
  • ระบบตรวจสอบสภาพอากาศ (AWAS): แจ้งเตือนสภาพอากาศเลวร้ายบนท้องถนน
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAS): ช่วยให้รถออกตัวบนทางลาดชันได้อย่างปลอดภัย
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC): ควบคุมความเร็วรถให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยขณะลงทางลาดชัน
  • ระบบแสดงภาพรอบคัน 360 องศา (AVM): แสดงภาพรอบคันรถเพื่อช่วยให้จอดรถได้ง่ายขึ้น
  • ระบบบันทึกภาพเหตุการณ์ (DVR): บันทึกภาพเหตุการณ์บนท้องถนน

MG iSMART

MG iSMART เป็นระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะระหว่างผู้ขับขี่ รถยนต์ และโลกอินเตอร์เน็ต ช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดย MG iSMART มีฟังก์ชั่นหลักดังนี้:

1. SMART CONNECT:

  • เชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน MG iSMART
  • เข้าถึงบริการต่างๆ เช่น แผนที่นำทาง, จุดสนใจ (POI), ข่าวสาร, สภาพอากาศ
  • ฟังเพลง ออนไลน์
  • เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเพื่อการโทรออก รับสาย และฟังเพลง

2. SMART COMMAND:

  • สั่งการด้วยเสียง ควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น ระบบปรับอากาศ, ระบบเครื่องเสียง, และการโทรศัพท์
  • ใช้งานได้สะดวกและปลอดภัย ไม่ต้องละสายตาจากถนน

3. SMART CARE:

  • ตรวจสอบสถานะของรถยนต์ เช่น ระดับน้ำมันเครื่อง, แรงดันลมยาง
  • แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
  • ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน

4. SMART DRIVE:

  • ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น ระบบเตือนการออกนอกเลน, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน

5. FIND MY CAR:

  • ค้นหาตำแหน่งที่จอดรถของคุณ

ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นโกลบอลโมเดลที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ด้วยการเป็นยนตรกรรมที่คิดค้น พัฒนา และทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก และมีการปรับจูนทุกระบบเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก และพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อีกขั้น โดยมีสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้

  • รวมระยะทางมากกว่า 14,000 กิโลเมตร กับการวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ในทวีปยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนเต็มในช่วงฤดูร้อน และมากกว่า 10,000 กิโลเมตร ใน 2 เดือนเต็มของช่วงฤดูหนาว
  • ระยะทางมากกว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ทีมวิศวกรระดับโลกได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+ วิ่งทดสอบและปรับจูนในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Multi-scenario Road Test and Tuning) โดยมี สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และพื้นผิวบนท้องถนนที่แตกต่างกัน อาทิ สนามทดสอบ
    กว่างเต๋อ (SAIC – GM Guangde Proving Ground) ในมณฑลอานฮุย (Anhui) สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ซึ่งเป็นสนามทดสอบรถทุกรุ่นของ SAIC MOTOR CORPORATION ก่อนปล่อยสู่ตลาด ตลอดจนทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ (Public Road) บนทางไฮเวย์ รวมถึงการทดสอบวิ่งในสนามที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นอย่าง Hailar Ultra-cold Proving Ground ในเมืองไฮลาเออร์ ประเทศมองโกเลีย กับการทดสอบแบบ Extreme Cold Test ภายใต้อุณหภูมิ -30 °C  ทั้งยังผ่านการทดสอบการวิ่งใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด หรือ Extreme Hot Test ภายใต้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 70 °C  ที่เมืองถูหลู่ฟาน มณฑลซินเจียง ซึ่งถือเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุดในประเทศจีน
  • มากกว่า 300 ครั้ง กับการขับทดสอบปรับจูนรับระบบช่วงล่าง
  • มากกว่า 200 ชั่วโมง ในการทดสอบการปรับจูนพวงมาลัย บนเงื่อนไขทั้งในการจำลองสถานการณ์เหมือนจริง (Simulator) และการขับทดสอบบนท้องถนน (Real road) เพื่อศักยภาพในการควบคุมการขับขี่ ให้แม่นยำ รวดเร็ว และดีกว่ารถไฮบริดทั่วไป ด้วยความไวของพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นถึง 5%
  • มากกว่า 100 ครั้ง กับการจำลองโมเดลเสมือนจริง เพื่อพัฒนายางล้อที่มีประสิทธิภาพ
  • สำหรับในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+ วิ่งทดสอบ รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร ทั่วทุกภูมิภาค
  • ล่าสุดกับรางวัล “Affordable Hybrid of the Year” จาก Auto Express in UK

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค และถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ HYBRID+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ให้กับตลาดยานยนต์โลก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ (Strategic Model) ประจำปีนี้ของ เอ็มจี ในการบุกและปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทยกับการเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง เอ็มจี มีแผนเปิดราคาจัดจำหน่ายของ ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้”

City paved strip surrounded by shops cafes and office blocks in the morning

 

 

เครดิตภาพ Carbuyer.co.uk

Autohome

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้