รัฐบาลอังกฤษเปย์หนัก! แจกเงิน 163,000 บาท ซื้อ EV คันใหม่ ไม่ต้องสร้างโรงงาน

Advertisement
ประเด็นสำคัญ
- เงินอุดหนุน: ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้าเกณฑ์ จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 3,750 ปอนด์ต่อคัน (ประมาณ 163,500 บาท)
- เงื่อนไขรถยนต์: ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ที่มีราคาไม่เกิน 37,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.61 ล้านบาท)
- เป้าหมาย: เพื่อช่วยให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน สามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
- ระยะเวลา: โครงการจะเริ่มให้ผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมได้ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2025 และจะดำเนินไปจนถึงปีงบประมาณ 2028 – 2059
- ภาพรวม: แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนครั้งใหญ่ของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนผู้ใช้รถ รวมถึงการลงทุนซ่อมถนนและตรึงภาษีน้ำมัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และผลักดันให้อังกฤษเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไร้มลพิษในยุโรป
สหราชอาณาจักรทุ่มงบ 650 ล้านปอนด์ อุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าคันละเกือบ 4,000 ปอนด์
15 กรกฎาคม – วันนี้ กระทรวงคมนาคมของสหราชอาณาจักรได้ประกาศแผนอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Car Grant – ECG) มูลค่า 650 ล้านปอนด์ (ประมาณ 28,340 ล้านบาท) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ลดภาระของผู้บริโภคในการซื้อรถ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของสหราชอาณาจักรไปสู่การคมนาคมขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
ภายใต้แผนนี้ ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 3,750 ปอนด์ต่อคัน (ประมาณ 163,500 บาท) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคหลายพันคนสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง
รายละเอียดโครงการ
โครงการอุดหนุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “แผนเพื่อการเปลี่ยนแปลง” (Plan for Change) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่มุ่งสนับสนุนผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนทำงาน ด้วยการลดต้นทุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น เงินอุดหนุนนี้จะใช้ได้กับรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ที่มีราคาไม่เกิน 37,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.61 ล้านบาท) โดยผู้บริโภคจะได้รับส่วนลดทันที ณ จุดซื้อ ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป ผู้ผลิตรถยนต์สามารถยื่นขอเข้าร่วมโครงการสำหรับรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ของตนได้ โดยเงินอุดหนุนนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงปีงบประมาณ 2028-2059
ความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม
Advertisement
เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม รถยนต์ไฟฟ้าสามารถช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษาได้มากถึง 1,500 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 65,400 บาท) นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการทางภาษีพิเศษเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน สองในห้าของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองในสหราชอาณาจักรมีราคาต่ำกว่า 20,000 ปอนด์ (ประมาณ 872,000 บาท) และมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ถึง 33 รุ่นที่มีราคาต่ำกว่า 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.3 ล้านบาท) ทำให้ต้นทุนในการซื้อและเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ามีความน่าสนใจกว่าที่เคยเป็นมา
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
การลงทุนล่าสุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ของรัฐบาลในการสนับสนุนผู้ใช้รถ ซึ่งรวมถึงการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์มูลค่า 1,600 ล้านปอนด์ (ประมาณ 69,760 ล้านบาท) เพื่อซ่อมแซมหลุมบ่อบนถนน และการตรึงภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ 5 เพนนีต่อลิตรจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2026 ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่โดยทั่วไปประหยัดเงินได้ 50-60 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 2,180 – 2,616 บาท)
นางไฮดี อเล็กซานเดอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า โครงการอุดหนุนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก แต่ยังช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหราชอาณาจักรสามารถคว้าโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ไว้ได้ ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรได้ติดตั้งสถานีชาร์จสาธารณะแล้วกว่า 82,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีสถานีใหม่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยหนึ่งแห่งในทุกๆ 30 นาที ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมอีก 4,500 ล้านปอนด์ (ประมาณ 196,200 ล้านบาท) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อเร่งรัดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้แพร่หลาย ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการติดตั้งสถานีชาร์จที่บ้าน การจัดหาโซลูชันการชาร์จสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีที่จอดรถส่วนตัว และการผลักดันให้กลุ่มยานพาหนะของหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนที่จะออกข้อบังคับเกี่ยวกับยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle – ZEV) ซึ่งกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องจำหน่ายรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ในสัดส่วนที่กำหนดในแต่ละปี เพื่อให้ตลาดมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายไซมอน วิลเลียมส์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายของ RAC (สโมสรยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร) กล่าวว่า คาดว่าภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับเงินอุดหนุนปรากฏตามตัวแทนจำหน่ายต่างๆ โดยโครงการนี้จะให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสูงสุดในกระบวนการผลิต ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
สหราชอาณาจักรเป็นผู้นำระดับโลกในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขับขี่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และในปี 2024 ได้กลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นหนึ่งในห้าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
Advertisement