Advertisement

Advertisement

ครม. ต่ออายุเงินสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 150,000 บาทต่อคัน

ครม. ต่ออายุเงินสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 150,000 บาทต่อคัน

Advertisement

Advertisement
 
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมาเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวน 1,024,414,000 บาท (เงินหนุนปัจจุบันหมดอายุสิ้นเดือนกันยายนนี้) 
 
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ เพื่อให้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิตามมาตรการฯ ที่จะต้องลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภายในปี 2567 – 2568 ตามเงื่อนไขของมาตรการฯ
 
และสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในการตัดสินใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าต่อไปทั้งนี้งบกลางฯที่มีการอนุมัติอุดหนุนเพิ่มเติมในครั้งนี้เนื่องจากวงเงินที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไว้ก่อนหน้านี้มีวงเงินทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท ซึ่งให้เป็นส่วนลดที่ค่ายรถจะไปทำโปรโมชั่นลดราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยลดราคาที่ 150,000 บาทต่อคัน โดยวงเงินดังกล่าวสามารถสนับสนุนส่วนลดรถยนต์ไฟฟ้าได้ 20,000 คันแต่ปัจจุบันคนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและเข้าโครงการนี้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้ต้องของบประมาณเพิ่มอีกประมาณ 1 พันล้านบาท
 
เนื่องจากยอดการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมามีการจดทะเบียนตามโครงการนี้แล้วกว่า 3.7 หมื่นคัน และอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 5 หมื่นคันได้
 
สำหรับเงินอุดหนุนดังกล่าวเป็นจำนวน 1,024,414,000 บาท หากหนุนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขนาด 30kWh ขึ้นไปจะได้ประมาณ 6,800 คัน 
 
มาตรการดังกล่าว กำหนด 3 รูปแบบได้แก่
  1. การส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่หรือ BEV ภายในประเทศ
  2. การส่งเสริมการผลิต BEV เพื่อชดเชยการนำเข้า
  3. การผลิตและการใช้ชิ้นส่วน BEV สำคัญภายในประเทศ

Advertisement

Advertisement
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ต้องผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าในปี 2565-2566 โดยสามารถผลิตรถรุ่นใดก็ได้
  • ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40 % ระหว่าง 2565 – 2566
  • ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ระหว่าง 2565 – 2568
  • เงินหนุนระหว่างปี 2565 – 2568
    • แบตเตอรี่ต่ำกว่า 30kWh ได้เงินหนุน 70,000 บาท
    • แบตเตอรี่สูงกว่า 30kWh ได้เงินหนุน 150,000 บาท
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาเกิน 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท
  • ลดอากรนำเข้าสูงสุด 20 % ระหว่าง 2565 – 2566
  • ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ระหว่าง 2565 – 2568
ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565-2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลา การผลิตชดเชยได้ถึง 2568 และจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน)
รถจักรยานยนต์
  • ราคาขายปลีกไม่เกิน 150,000 บาท รับเงินหนุน 18,000 บาทต่อคันทั้ง CKD และ CBU (ปี 2565-2568)
ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565 – 2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลาการผลิตชดเชยได้ถึงปี 2568 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 และต้องเลือกผลิตรถยนต์จากรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำเข้ามาในช่วงปี 2565 – 2566 เท่านั้น

รถกระบะ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท

  • ลดภาษีสรรพสามิตเป็น 0% ในปี 2565-2568
  • เงินหนุน 150,000 บาท ปี 2565 – 2568 สำหรับกระบะ BEV แบตเตอรี่ขนาดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป (เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศ เท่านั้น)

Bbangkokbiznews.com/

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้